เป็นอีก 1 ข่าวเก่า เรื่องเล่าคลาสสิกที่ผู้คนยังคงนึกถึง สำหรับจระเข้ยักษ์กินคน “ไอ้ด่าง บางมุด” ตำนานนักล่าแห่งสายน้ำ ณ คลองบางมุด อ.หลังสวน จ.ชุมพร ที่วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะนำความสะพรึงในอดีต มาให้ได้อ่านกัน...

เปิดตำนาน จระเข้ยักษ์ “ไอ้ด่าง บางมุด” ไล่งาบกินคน!

จากหนังสือ “กรุข่าวดัง” ที่เก็บรวบรวมข่าวในอดีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500-2519 มีข่าวดังที่เป็นตำนานน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ “ไอ้ด่าง บางมุด” หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงนี้ (ตุลาคม) พ.ศ. 2507 ข่าวจระเข้ขนาดใหญ่ลอยขึ้นในคลองบางมุด จ.ชุมพร ไล่กัดกินคนตามตลิ่งเริ่มแพร่สะพัดขึ้น จากเสียงเล่าลือของคนใช้เรือสัญจรกลายเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์

29 ตุลาคม พ.ศ.2507 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ได้ลงภาพแผนที่สังเขปของคลองบางมุด พร้อมคาดการณ์ว่าเป็นเส้นทางที่จระเข้ยักษ์ หรือ “ไอ้ด่าง” ออกอาละวาดท่องเที่ยวล่าคนเป็นภักษาหาร นอกจากนี้ ยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า เมื่อประมาณ​ 7-8 ปี ก่อนหน้านั้น เชื่อว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ เคยออกอาละวาดไล่ฟัดคนในแม่น้ำแสงแดด อ.เมืองชุมพร มาแล้ว 1 คน ครั้นชาวบ้านออกล่าตัวก็หาได้ปรากฏวี่แววไม่ กระทั่งวันนี้ ชาวบ้านแถบนั้นก็เชื่อว่า “มันกลับมาแล้ว”

ณ หมู่บ้านหนองไก่ปิ้ง ตำบลนาขา อำเภอหลังสวน ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟควนหินมุ้ย โคตรไอ้เคี่ยม ก็ได้ปรากฏโฉมในรอบหลายปี โดยได้ไล่กัดคนอาบน้ำ และเดินอยู่ตามริมตลิ่ง รวมไปถึงไล่กัดเรือขึ้น-ล่องสัญจรไปมาในคลองด้วย

...

หนังสือพิมพ์สมัยนั้น เขียนบรรยายว่า คลองบางมุดเป็นลำน้ำสายใหญ่ ลึกยิ่งกว่าคลองบางกอกน้อยในกรุงเทพฯ น้ำมีลักษณะใสเขียว มีทางแยกไปถึงแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำชุมพร, แม่น้ำตะโก และ แม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่งทะลุทะเลที่บริเวณสามเหลี่ยมปากน้ำชุมพร และตรงสามเหลี่ยมนี้เองที่เชื่อมไปยังแม่น้ำแสงแดดได้ ชาวบ้านจึงเชื่อว่า “มันเป็นตัวเดียวกัน!”

ตะลึง! ไอ้เคี่ยมมัจจุราชลุ่มน้ำ ตัวใหญ่ยาวกว่า 4 วา

จากการคาดการณ์ของสื่อในสมัยนั้น ระบุว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ มีลักษณะคอด่างสีขาวตัดกับส่วนหน้า ลำตัวดำสนิท ไม่มีตะไคร่น้ำจับเกาะทั่วตัว ชาวบ้านขนานนามว่า “ไอ้ด่าง” มีขนาดยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายถึง 4 วาเศษ เฉพาะส่วนหัวยาวประมาณ 2 ศอกเศษแล้ว ลำตัวใหญ่กว่าถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร และเมื่อมันกินคนแล้ว มันจะอิ่มและซ่อนตัวนาน 15 วัน แล้วค่อยลอยหาเหยื่อรายใหม่

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ในอดีต ยังบรรยายถึงอุปนิสัยของมันไว้เสร็จสรรพว่า เป็นพันธุ์ “ไอ้เคี่ยม” หรือ พันธุ์ “ทองหลาง” อยู่ได้ทั้งน้ำกร่อยและน้ำเค็ม มีตีนเป็ดเป็นพืดแผ่เต็มระหว่างเล็บของมันเพื่อง่ายในการออกทะเลอย่างรวดเร็ว และเป็นพันธุ์ที่ร้ายมาก ชอบกินคน

“หากได้กินเนื้อคนแล้วก็จะหากินอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสือ” หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นวาดภาพไอ้ด่าง...

ให้รางวัลค่าหัว ตั้งทีมไล่ล่า!

จากนั้น เรือนับร้อยลำก็มุ่งตรงไปที่คลองบางมุด นักล่ามากวิชา ทั้งเวทมนตร์ คาถา อาวุธมากมาย ทั้งฉมวก ไฟฟ้า ปืน อวน กระทั่งระเบิดก็เอามาใช้ ทั้งนี้ นักล่าจระเข้แต่ละคนก็จะมีความถนัดแตกต่างกัน และมีที่มาจากหลายจังหวัด เช่น ปัตตานี ร้อยเอ็ด อ่างทอง สุราษฎร์ธานี เป็นต้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่นักล่ากำลังตามอยู่นั้น “ไอ้ด่าง” ก็โผล่ขึ้นกลางลำน้ำ หลังจากนักล่าหย่อนระเบิดกระป๋องลงไปนับสิบลูก ไอ้เคี่ยมพุ่งพรวดงาบเรือรวมถึงขาชาวบ้าน ที่พลาดเป้าไปเพียงแค่คืบ เมื่อเห็นดังนั้น ปืนทุกกระบอกก็หันมาเล็งใส่ “ไอ้ด่าง” สุดท้ายมันก็หนีไปได้

เวลาผ่านไปนับเดือน ก็มีการตั้งรางวัล 8,000 บาท หากผู้ล่ารายใดสามารถปราบมันได้ ขณะเดียวกัน คลองบางมุด ที่เคยคึกคักด้วยผู้คน ก็เริ่มจะทิ้งร้าง การไล่ล่าเพชฌฆาตจากน้ำเค็มที่อยู่ในน้ำกร่อยได้ ก็ประสบปัญหา เพราะตอนนั้นเป็นช่วงอุทกภัย หนำซ้ำทะเลยังหนุนสูงอีก การจะหาตัวมันให้ได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย...

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 ก็เป็นวันปราชัยของเพชฌฆาตเงียบตัวนี้ สิบเอกจำนง พิมาน พร้อมเพื่อนทหาร รวมกัน 4 นาย ได้แกะรอยไล่ล่าตัวมันมา 2 วันเต็ม กระทั่งตามไปถึง “วัง” ที่มันใช้กบดานอยู่ เมื่อรู้แน่ชัดแล้ว จึงหย่อนด้วยระเบิด C-3 ที่บรรจุในกระป๋อง...ตูม...ระเบิดลูกแรกทำให้ ไอ้ด่าง รู้ตัวและพยายามจะหนี สิบเอกจำนง กับพวก ไม่รอช้า หย่อนระเบิดไปอีก ตูม...ตูม ระเบิดลูกหนึ่งโดนกลางหลังไอ้ด่างทำให้กระดูกสันหลังของมันหัก จากนั้นก็ช่วยกันล่ามไว้กับเรือ และลากมันขึ้นมา ไอ้ด่าง ค่อยๆ สิ้นใจตายอย่าง “สิ้นชื่อ” ทั้งนี้ ก่อนจะฆ่ามันได้ ทราบว่า ไอ้ด่าง ได้ไปกินเหยื่อเป็นชาวบ้านขณะแบกต้นกล้วยฝ่าน้ำที่สูงเท่าเอว ไอ้ด่างมันกบดาน ก่อนจะพุ่งงาบเข้ากลางลำตัวแล้วลากเหยื่อไปกิน

...


ตะลึง! ผ่าท้องจระเข้ยักษ์ พบกะโหลก 2 หัว

หลังจากมันตาย ชาวบ้านก็ช่วยกันลากไอ้ด่างมาขึ้นฝั่งที่ อ.สวี ชาวบ้านที่รู้ข่าวก็แห่มามุงดูกันยกใหญ่ เมื่อผ่าท้องมันดูก็ต้องตกตะลึงเพราะภายในมีกะโหลกมนุษย์อยู่ 2 หัว นอกจากนี้ ยังมีกระสุนปืนรวมอยู่ด้วย ต่อมา ได้มีการซื้อขายซาก “ไอ้ด่าง” ในราคา 7,000 บาท จากนั้นได้นำซากมันเข้ากรุงเทพฯ จากการซื้อต่อในราคา 23,000 บาท และได้มีการเปิดให้ผู้คนได้ชม คิดคนละ 1 บาท คาดว่าสามารถหาเงินจากซากไอ้ด่างนับแสนบาท ขณะที่ “คนหัวใส” แอบอ้างว่า มี “ไอ้ด่าง” นำมาโชว์เพื่อหากิน เจ้าของตัวจริงก็ถึงกับต้องไปแจ้งความ แต่เอาผิดไม่ได้เพราะเจ้าทุกข์ตัวจริงอย่าง “ไอ้ด่าง” สิ้นชีพไปแล้ว อย่างไรก็ดี จากการวัดตั้งแต่หัวจรดหาง พบว่า ไอ้ด่างมีความยาวประมาณ 9 ศอก หรือ 425 ซม.

ผู้เชี่ยวชาญชี้ “ไอ้ด่าง” พันธุ์ดุร้าย

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ติดต่อไปยัง ร้อยเอกนายแพทย์ ปัญญา ยังประภากร ประธานกรรมการบริษัทจระเข้ทองการเกษตร จำกัด และผู้เชี่ยวชาญด้านจระเข้ เผยว่า จระเข้สายพันธุ์ดุร้ายและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือสายพันธุ์น้ำเค็ม ซึ่ง “ไอ้ด่าง บางมุด” จัดอยู่ในสายพันธุ์นี้ด้วยเช่นกัน และยังเป็นจระเข้ที่มีประวัติทำร้ายคนมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ โดยธรรมชาติจระเข้ทุกสายพันธ์ุทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มเป็นสัตว์กินเนื้อ ในการหาอาหาร จระเข้จะรับรู้โดยสัญชาตญาณว่าอะไรคืออาหารของมัน เป็นจำพวกสัตว์ เช่น หมูป่า เก้งกวางที่ลงมากินน้ำบริเวณริมน้ำ แต่ถ้าหาสัตว์ไม่ได้ก็จะกินปลาในน้ำ รวมไปถึงซากสัตว์ ประกอบกับการใช้สายตาและจมูกดมกลิ่น แต่ถ้าบังเอิญคนหลงไปอยู่ในเส้นทางที่จระเข้กำลังไปหาอาหารอยู่ ก็จะกลายเป็นอาหารของจระเข้ไปโดยปริยาย และเมื่อจระเข้เคยกินเนื้อคน ก็จะเกิดความคุ้นเคย เมื่อเห็นคนก็จะล่ามาเป็นอาหาร"

...

ไม่จริง! ลิ้มลองเนื้อมนุษย์ ติดใจไม่กินเนื้ออื่น แต่รู้ว่ากินได้ก็จะกินอีก!

"ความเชื่อที่ว่าจระเข้กินเนื้อคนแล้วจะไม่กินอย่างอื่นนั้นไม่ถูกต้อง เพราะจระเข้เป็นสัตว์ล่าเนื้อเหมือนสัตว์กินเนื้อชนิดอื่นๆ ก็จะสามารถกินเนื้อได้ทุกชนิด เคยกินเนื้อชนิดหนึ่งแล้วก็สามารถกินได้อีกเมื่อเกิดความหิวและออกล่าอาหารมาได้ แต่เมื่อกินอิ่มก็จะไม่ได้ยุ่งอะไรกับใคร เพราะโดยธรรมชาติจระเข้ทุกสายพันธุ์จะมีความกลัวมนุษย์ กลัวสัตว์อื่นมาทำร้าย เพียงแต่ว่าอุปนิสัยความดุร้ายจะลดหลั่นกันไปตามสภาพแวดล้อม" ผู้เชี่ยวชาญด้านจระเข้ ระบุ

นพ.ปัญญา กล่าวต่ออีกว่า โดยลักษณะทั่วไปเมื่อจระเข้น้ำเค็มโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่ 4-6 เมตร ซึ่งต่างจากจระเข้น้ำจืดที่มีขนาดโตเต็มที่ 3-4 เมตร และจะมีความแตกต่างกันอยู่ที่สีสัน ลาย และลักษณะเกล็ดบางประการ ถิ่นที่อยู่อาศัยของจระเข้น้ำจืดจะอาศัยอยู่แถบที่ราบลุ่มภาคกลาง ส่วนจระเข้น้ำเค็มจะอาศัยอยู่แถบภาคใต้ มักอาศัยอยู่ในป่าโกงกางหรือป่าชายเลนในที่ที่เป็นน้ำกร่อย น้ำเค็ม หรือชายทะเล ด้านอุปนิสัย จระเข้น้ำเค็มจะมีความดุมากกว่าจระเข้น้ำจืด แต่จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ

...

เจ้าใหญ่! จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในไทย

ปัจจุบันมีจระเข้ที่ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกและอยู่ในประเทศไทย คือ เจ้าใหญ่ เป็นจระเข้ที่เติบโตมาในบ่อเลี้ยงของฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ และยังถูกบันทึกลงกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2543 ด้วยสัดส่วนความยาว 6 เมตร น้ำหนัก 1,114 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังมีจระเข้น้ำเค็มในธรรมชาติที่ถูกค้นพบว่ามีความยาวประมาณ 7-9 เมตร อยู่ที่ออสเตรเลีย แต่ไม่ได้มีการจับขึ้นมาและยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

โบราณว่าไว้อย่าไว้ใจ "สัตว์หน้าขน" แต่แท้จริงแล้ว สัตว์มีเขี้ยวแหลมคมก็ไว้ใจไม่ได้เช่นกัน แต่สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดในโลกหล้านี้ คงไม่ใช่ "ไอ้ด่าง บางมุด" ฉลาม เสือ หรือ สิงโต ใช่แล้ว คำตอบก็คือ "มนุษย์" นี่แหละ เพราะมนุษย์กินสัตว์เกือบทุกชนิดบนโลก