ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 24 ก.ย. นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า พายุโซนร้อน “หว่ามก๋อ” ซึ่งอ่อนกำลังลงกลายเป็นดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ ที่พัดผ่านประเทศไทย ทำให้ฝนตกหนักจนเกิดภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกนั้น แต่ปริมาณน้ำที่ไหลลงเขื่อนขนาดใหญ่ที่สำคัญๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ มีปริมาณที่น้อยมาก โดยเฉพาะ 4 เขื่อนหลักที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มเจ้าพระยา คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้มีปริมาณน้ำที่ใช้การได้เพียง 2,343 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)
ขณะนี้ได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว โดยเฉพาะน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาได้เตรียมสำรองไว้ให้ 1,100 ล้าน ลบ.ม. เท่ากับปีที่ผ่านมา ดังนั้น ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะไม่ขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ในช่วงที่หมดฝนแล้วแน่นอน ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆได้วางแผนการจัดสรรน้ำรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว ยกเว้นในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ที่สถานการณ์น้ำยังน่าห่วง เพราะมีปริมาณน้ำต้นทุนน้อยมาก มีแหล่งน้ำเพียงแห่งเดียวคืออ่างเก็บน้ำห้วยเหล่ายาง เป็นอ่างขนาดกลาง ความจุประมาณ 2.1 ล้าน ลบ.ม. ที่ผ่านมามีฝนตกเพียง 700 มิลลิเมตร จากปกติมีค่าเฉลี่ยถึง 1,000 มิลลิเมตร ทำให้ปัจจุบันมีน้ำในอ่างฯ ขณะนี้มีอยู่ 370,000 ลบ.ม.
“กรมชลประทานจะส่งน้ำให้การประปาส่วนภูมิภาคหนองบัวลำภู เฉลี่ยวันละ 5,000-6,000 ลบ.ม.ดังนั้นปริมาณน้ำที่เหลืออยู่หากไม่มีฝนตกลงมา ประมาณการว่าสามารถส่งน้ำให้ได้อีก 45 วันเท่านั้น ซึ่งกรมชลประทานได้แจ้งสถานการณ์น้ำไปยังการประปาฯในพื้นที่แล้ว ขณะนี้การประปาฯ ได้เตรียมหาแหล่งน้ำสำรองเป็นสระน้ำธรรมชาติที่มีความจุน้ำประมาณ 3 แสน ลบ.ม. คาดว่าจะใช้ผลิตน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภคได้อีก 50 วัน” รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว.
...