เขื่อนหินกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งสงขลา ก่อสร้างคืบแล้วเกือบ 50% คาดวางหินเสร็จทันฤดูมรสุม ขณะ 5 หน่วยงานฟ้องศาลปกครองยุติโครงการ ชาวบ้านหวั่นทำประสบปัญหาคลื่นกัดเซาะเหมือนทุกปี

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่บริเวณถนนเลียบชายทะเล หมายเลข สข.2004 ของกรมทางหลวงชนบท สายสงขลา-นาทับ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา การก่อสร้างเขี่อนหินป้องกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งและป้องกันถนนเลียบชายทะเล บริเวณหลัก กม.ที่ 32 ระยะทาง 600 เมตรต่อจากเขื่อนเดิม ที่มีการก่อสร้างไปแล้ว ขณะนี้คืบหน้าไปเกือบ 50% ซึ่งการก่อสร้างได้ทำฐานเขื่อนเชื่อมต่อกับเขื่อนหินเดิมแล้ว จากนั้นจะใช้รถแบ็กโฮขนาดใหญ่ 2 คัน ลำเลียงหินนำมาเรียงกองไว้ 2 ข้างทางบริเวณก่อสร้างเพื่อทำเขื่อนหินกันคลื่นป้องกันการกัดเซาะถนนเลียบชายทะเล เริ่มตั้งแต่อาคารบำบัดน้ำเสียของกรมควบคุมมลพิษ ไปเชื่อมต่อกับเขื่อนเดิมที่มีการก่อสร้างไปแล้ว โดยนำหินไปลงบริเวณชายหาด แล้วใช้รถแบ็กโฮนำหินมาจัดวางทำเป็นสันเขื่อน ซึ่งทางสำนักทางหลวงชนบทที่ 12 สงขลา คาดว่า งานก่อสร้างเขี่อนหินป้องกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งและป้องกันถนนเลียบชายทะเลดังกล่าว จะแล้วเสร็จทันรับฤดูมรสุมปีนี้ เนื่องจากมีการสำรองก้อนหินขนาดใหญ่ไว้แล้วเป็นจำนวนมาก

...


ส่วนด้านการดูดทรายมาเสริมชายหาดชลาทัศน์ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและคลื่นกัดเซาะถนนชลาทัศน์ ขณะนี้ได้หยุดดำเนินการแล้ว เนื่องจากสงขลาฟอรั่ม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสงขลา ให้ยุติโครงการนี้เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผู้ถูกฟ้องรวม 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมเจ้าท่า และเทศบาลนครสงขลาโดยผู้ฟ้องได้ขอให้ศาลปกครองสงขลา ไต่สวนฉุกเฉินขอให้คุ้มครองชั่วคราว และระหว่างพิจารณาให้หยุดดำเนินการโครงการนี้ไว้ก่อน ขณะนี้อยู่ในช่วงการรอคำสั่งจากศาลปกครอง ว่าจะมีคำสั่งออกมาอย่างไร

ขณะที่ชาวสงขลา มีความกังวลเกี่ยวกับคลื่นกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง เนื่องจากในระยะนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในปลายเดือน ต.ค.นี้ หากมีการยุติโครงการอาจจะประสบปัญหาช่วงฤดูมรสุมคลื่นกัดเซาะชายหาดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา จนสร้างความเสียหายให้กับชายหาดชลาทัศน์ ต้นสนล้มระเนระนาด และยังกัดเซาะถนนชลาทัศน์ จนเกือบขาดอีกด้วย.