ตำรวจสนธิกำลังทหารและกรมบังคับคดี บุกรื้อถอนขอที่ดินวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ฝั่งธนฯ คืนจากชาวบ้านที่เช่าที่ดินวัด เผยเชือดไก่ให้ลิงดู ส่งคนงานใช้คีมตัดสายยูเข้าไปยึดของภายในบ้านประธานชุมชนไปเก็บรักษารอเจ้าของมารับคืน ขณะที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสระบุฟ้องร้องตั้งแต่ปี 47-48 ไม่มีผู้ใดยอมย้ายออก จำเป็นต้องดำเนินการตามคำสั่งศาล
ข้อพิพาทระหว่างวัดกับชาวบ้าน เกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ก.ย. พ.ต.อ.ณัฏฐ์พัชร์ ผดุงจันทน์ ผกก.สน.บุปผาราม พ.ต.อ.วรวิทย์ ญาณจินดา พงส.ผทค.สน.บุปผาราม พ.ต.ท.มาโนช ศิริโภคกุล รอง ผกก.ป.สน.บุปผาราม พ.ต.ท.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว สว.สส.สน.บุปผาราม นายขรรค์ชัย โตการณ์ เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม และกำลังทหาร พล.ร.9 กว่า 50 นาย เดินทางเข้าปิดล้อมขับไล่ผู้อยู่อาศัยและครอบครองทรัพย์สินภายในบ้านเลขที่ 294 ชุมชนวัดกัลยาณ์ ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กทม. ซึ่งเป็นบ้าน 1 ใน 54 หลัง ของผู้เช่าที่ดินของวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ที่ถูกฟ้องร้องขับไล่มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน จากจำนวนผู้เช่าที่ดินวัดหลายร้อยหลังคาเรือน
บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้สูง 2 ชั้น เปิดเป็นร้านขายขนมจีบ ชื่อ “ขนมจีบเฮียเส็ก ของดี ของอร่อยวัดกัลยาณ์” มีนายชัยสิทธิ์ กิตติวณิชพันธุ์ อายุ 59 ปี ประธานชุมชนวัดกัลยาณ์คนปัจจุบัน เป็นเจ้าบ้าน ตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบผู้อาศัยอยู่ในบ้านแต่อย่างใด อีกทั้งประตูเหล็กบานพับหน้าบ้านถูกคล้องด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่ถึง 2 ชั้น เจ้าหน้าที่จึงประกาศชื่อเจ้าของบ้านและตามหาตัว ผู้อาศัย ให้แสดงตัวท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านจำนวนมาก เข้ามารุมต่อว่าเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องของวัด
กระทั่งเวลาผ่านไป 1 ชม. ยังไม่มีผู้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าบ้านหรือผู้พักอาศัยภายในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงกระชับวงล้อมกันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากหน้าบ้าน ในรัศมี 10 ม. ก่อนให้คนงานใช้คีมขนาดใหญ่ตัดแม่กุญแจทั้ง 2 ชั้น เปิดประตูเข้าไปสำรวจหาบุคคลและทรัพย์สิน ปรากฏว่าไม่พบผู้พักอาศัย มีเพียงข้าวของเครื่องใช้สำหรับประกอบอาชีพ อาทิ ถังแก๊ส ตู้แช่ของสด แผงไข่ ลังถึงนึ่งขนมจีบ ซุ้มตั้งร้าน ก่อนบันทึกตรวจยึดเอาไว้ เพื่อรอเจ้าบ้านนำเอกสารไปรับกลับจากกรมบังคับคดี
...
พ.ต.ท.ปราโมทย์กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่บังคับคดีร้องขอให้ตำรวจและทหารเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ ตามคำสั่งของศาล เบื้องต้นประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียงเพื่อหาตัวเจ้าบ้านและผู้พักอาศัย ทั้งแจ้งว่าหากมีผู้ใดสงสัยข้องใจการปฏิบัติหน้าที่ให้เดินทางมาสอบถามกับพนักงานสอบสวนได้ทันที แต่เมื่อไม่มีผู้ใดมาคัดค้านจึงดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนที่ตำรวจและทหารเดินทางมาก็เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ทั้ง 2 ฝ่าย กรณีมีการปลุกปั่นขัดขวางการทำงาน โชคดีที่ไม่มีการกระทบกระทั่งกัน
ด้านนางอุมาพร วงศ์วิภานนท์ อายุ 63 ปี ชาวบ้านในชุมชนวัดกัลยาณ์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาตั้งแต่อายุ 16 ปี ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหาใดๆ เช่าที่ดินของวัด โดยจ่ายเงินให้สำนักงานพระพุทธศาสนาฯปีละไม่เกิน 1,000 บาท กระทั่งปี 46 มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในชุมชนวัดและชาวบ้านอยู่ร่วมกันไม่สงบสุขเหมือนเดิม มีคดีความฟ้องร้องทุบทำลายวัตถุและโบราณสถาน กระทั่งมีการขับไล่ชาวบ้านกลุ่มนี้ที่อยู่ร่วมกันมานานหลายสิบปี ยืนยันถ้าถูกไล่ที่ก็ต้องย้ายออกตามคำสั่งศาล ยอมรับสภาพความจนหากรวยคงไม่มาเช่าที่วัดอยู่ ถ้าถึงคิวบ้านถูกขับไล่จะพาญาติพี่น้องไปตั้งเต็นท์หลับนอนที่หน้าคณะ 1 วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
ขณะที่พระปริยัติธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด กัลยาณมิตรวรมหาวิหาร กล่าวว่า การรื้อถอนทำตามหมายศาลที่วัดเคยฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอคืนพื้นที่ด้านติดคลองบางกอกน้อย ไปจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีการยื่นฟ้องร้องตั้งแต่ปี 47-48 ระหว่างนั้นติดหมายศาลในพื้นที่ที่จะถูกรื้อถอนพร้อมแจ้งผู้อาศัยบริเวณนั้นให้ย้ายออกภายใน 2 ปี ซึ่งจะจ่ายค่าเวนคืนและค่ารื้อถอนให้ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดยอมย้ายออก ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามคำสั่งศาล เพราะไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการตรวจยึดทรัพย์สินไปเก็บรักษาภายในบ้านหลังดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะนำทรัพย์สินทั้งหมดไปเก็บรักษาเพื่อรอเจ้าบ้านมาแสดงตัวรับกลับคืน อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งวันยังมีคนงานใช้ผ้าคลุมหน้า ถือค้อนปอนด์กลุ่มใหญ่ รอรับคำสั่งรื้อถอนอยู่ตลอดเวลาเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งกับชาวบ้าน ส่วนสาเหตุที่วัดขอคืนที่ดินจากชาวบ้านกลุ่มนี้เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีรื้อถอนโบราณสถานต่างๆภายในวัด ทำให้มีการฟ้องร้องระหว่างกรมศิลปากรกับวัดหลายคดี บางคดียังค้างอยู่ในชั้นศาล