ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 20 ปี ‘ภาพ 70 ไร่’ คดีฟอกเงินค้ายาบ้า 200-500 ล้านบาท ส่วนเมียเหลือคุก 5 ปี และพี่เมียที่ร่วมด้วยคงจำคุก 4 ปี แต่ทั้งสองคนถูกคุมขังจนครบกำหนดแล้วจึงไม่ต้องถูกขังอีก เหลือแต่อดีตเจ้าพ่อคลองเตย ที่ต้องถูกจองจำ...  


ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสยามหรือสุภาพ ทรัพย์วรสิทธิ์ ฉายา ‘ภาพ 70 ไร่’ นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ย่านคลองเตย ซึ่งเป็นนักโทษคดีเด็ดขาดในยาเสพติดที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว น.ส.ศยามล สิริธนาธร ภรรยาของภาพ 70 ไร่ และนางดวงตา กาญจนหาร พี่สาวของนางศยามล เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน กระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ศ.2542

กรณีเมื่อวันที่ 19 ส.ค.42 ถึงวันที่ 20 มี.ค.46 จำเลยได้ร่วมกันโอน ซุกซ่อน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินซึ่งได้มาจากการค้ายาเสพติดตั้งแต่ปี 2541 มูลค่ากว่า 200-500 ล้านบาท โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ต.ค.47 ว่า จำเลยทั้งสาม กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วย ปปง. มาตรา 3, 5, 60 ประกอบมาตรา 83 ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุก นายสุภาพ จำเลยที่ 1 และ น.ส. ศยามล ภรรยา จำเลยที่ 2 รวม 12 กระทง เป็นเวลา 40 ปี แต่เมื่อรวมโทษตามกฎหมายแล้วให้จำคุกนายสุภาพ และ น.ส.ศยามล จำเลยที่ 1-2 คนละ 20 ปี ส่วนนางดวงตา จำเลยที่ 3 ให้จำคุก 6 กระทงๆ ละ 2 ปี รวม 12 ปี

ต่อมาจำเลยทั้งสาม ยื่นอุทธรณ์ ต่อสู้คดี ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษา วันที่ 28 ต.ค.53 แก้โทษให้ น.ส.ศยามล จำเลยที่ 2 จำคุกเพียง 10 ปี จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 20 ปี ส่วนนางดวงตา จำเลยที่ 3 ให้เหลือโทษจำคุก 4 ปี จากเดิม 12 ปี เนื่องจากพฤติการณ์ฟอกเงินบางข้อที่โจทก์ฟ้องยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2-3 กระทำผิด แต่ในส่วนของนายสุภาพ จำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 20 ปีเช่นเดิม

...

ต่อมาอัยการโจทก์ฎีกาให้ศาลพิพากษาโทษจำเลยทั้งสามในทุกข้อที่ได้ฟ้อง และนายสุภาพ จำเลยที่ 1, นางดวงตา พี่ภรรยาของนายสุภาพ จำเลยที่ 3 ได้ยื่นฎีกาสู้คดี ในวันนี้ศาลเบิกตัว นายสุภาพ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา ส่วน น.ส.ศยามล จำเลยที่ 2 และ น.ส.ดวงตา จำเลยที่ 3 เดินทางมาศาลพร้อมกับบุตรสาว 2 คนและญาติๆ

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ตามพยานหลักฐานอัยการโจทก์ รับฟังได้ว่า นายสุภาพ จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดจริง โดยอัยการโจทก์มีนักโทษคดียาเสพติดซึ่งถึงที่สุดแล้ว เป็นพยานเบิกความอยู่ในชุมชนคลองเตยที่เดียวกับจำเลยที่ 1 รู้จักกัน และเคยรับยาบ้า 40-50 ครั้งจากจำเลยที่ 1 ไปจำหน่ายช่วงระหว่างปี 2540 – 2543

ขณะที่อัยการโจทก์ ยังมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทรัพย์สินการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ของ ป.ป.ส. เป็นพยานเบิกความด้วยว่า การตรวจสอบที่มาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1-3 พบว่า จำเลยที่ 1 ระบุเคยเปิดบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและให้บริการเช่า-ซื้อ รถจักรยานยนต์ รวมทั้งการปล่อยเงินกู้นักพนัน แต่เมื่อมีการตรวจสอบดำเนินการบริษัทปรากฏว่ามีภาวะขาดทุนตั้งแต่ ปี 2542 – 2544

นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน คดีการค้ายาเสพติดย่านคลองเตย พยานโจทก์ เบิกความถึงความเชื่อมโยงของจำเลยที่ 1 และครอบครัว เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ข้อเท็จจริงที่ได้พยานหลักฐานโจทก์ จึงรับฟังได้ว่า นายสุภาพ จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดยาเสพติดจริง ซึ่งการเปิดบริษัทของจำเลยที่ 1 ก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากการกระทำผิดค้ายาเสพติด โดยพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดก็มีปริมาณมาก มีมูลค่าสูง ขณะที่การประกอบธุรกิจต่างๆ โดยปกติก็ต้องมีการลงทุนพอสมควรซึ่งบริษัทของจำเลยที่ 1 มีข้อมูลว่าขาดทุน ประกอบกับจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดงยืนยันได้ว่า การทำธุรกิจของบริษัทมีเงินทุนมาจากแหล่งใด

ดังนั้น จึงฟังได้ว่า ทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 จากการประกอบุรกิจ แท้จริงมาจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 บางส่วนก็มีการนำเข้าบัญชีเงินฝากของครอบครัว และเก็บไว้ในตู้เซฟที่นางดวงตา จำเลยที่ 3 เช่าไว้กับธนาคารด้วย ซึ่งเป็นการปิดบังทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดค้ายาเสพติด ที่เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน

แต่ในส่วนของ น.ส.ศยามล จำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับทรัพย์สินบางข้อตามฟ้อง ยังฟังได้ไม่ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเงินกระทำผิดฝากเข้าบัญชี ดังนั้นศาลฎีกา เห็นควรพิจารณาโทษให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก น.ส.ศยามล จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 5 ปี ส่วนนายสุภาพ จำเลยที่ 1 จำคุกเป็นเวลา 20 ปี และนางดวงตา จำเลยที่ 3 จำคุก 4 ปี ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา แต่เนื่องจากที่ผ่านมา น.ส.ศยามล จำเลยที่ 2 และนางดวงตา จำเลยที่ 3 ได้คุมขังครบตามเวลาแล้ว ดังนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องถูกคุมขังอีกให้ปล่อยตัวไป

ภายหลังฟังคำพิพากษา น.ส.ศยามล จำเลยที่ 2 และนางดวงตา จำเลยที่ 3 ถึงกับน้ำตาคลอด้วยความดีใจ และยกมือไหว้แสดงความขอบคุณศาล ก่อนที่จะกอดให้กำลังใจนายสุภาพ จำเลยที่ 1 ขณะที่บุตรสาว 2 คน และญาติๆ ที่เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา ก็ร่ำไห้และสวมกอดนายสุภาพด้วย เนื่องจากนายสุภาพ ยังต้องถูกคุมขังไว้ตลอดชีวิตในคดีค้ายาเสพติดตามคำพิพากษาฎีกาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งคดีถึงที่สุดไปแล้ว.