ตำรวจเชียงใหม่ ตรวจห้องพักโรงแรมที่ผู้ต้องหาฆ่าแล้วเผาเข้าพัก พบหลักฐานเด็ด ‘หมวก’ ที่สวม ถ่ายภาพกับเหยื่อ ยังมีภาพวงจรปิดในอีกหลายที่ เชื่อประสงค์ต่อทรัพย์ ยันหลักฐานชี้ชัดถึง 90% แล้ว แต่ยังไม่ออกหมายจับ...
จากคดีสะเทือนขวัญ ตำรวจ สภ.สารภี จ.เชียงใหม่ ได้พบศพหญิงสาวถูกฆ่าเผาอยู่ในป่าละเมาะหมู่ 5 บ้านหนองแฝก ต.หนองแฝก อ.สารภี เหลือหลักฐานเป็นฟันมีการดัดฟันด้วยลวดสีเขียว และมีกล่องสี่เหลี่ยมคล้ายกระเป๋าเดินทางแต่ถูกเผาไหม้เกือบหมด เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นหญิงสาวถูกลวงจากที่อื่น คนร้ายฆ่าแล้วเผาอำพรางคดี
จนต่อมามีญาติมายืนยันว่าศพที่ถูกเผาเป็น น.ส.ลลิตา โชคชัชวาลย์ อายุ 25 ปี บ้านเดิมอยู่ ต.โพธิแทน อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก ทำงานอยู่บาร์เบียร์ย่านพัทยา จ.ชลบุรี เมื่อทราบเบาะแสว่าผู้ตายเป็นใครจึงติดตามทางกล้องวงจรปิด ของโครงการโปลิศอาย จนพบภาพผู้ตายมากับนายราชวัตร แก้วพรมรัตน์ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 136 หมู่ 2 ต.โนนสมบูรณ์ อ.เมืองบึงกาฬ ซึ่งในขณะนี้ถูกจับในคดีฉ้อโกงทรัพย์อยู่เรือนจำพัทยา และรับสารภาพว่าได้ก่อคดีฆ่าแล้วเผาในพื้นที่ จ.ระยอง และจ.เชียงใหม่ ซึ่งที่เชียงใหม่ตรงกับพยานหลักฐานที่พบในกล้องวงจรปิด
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 ส.ค. พล.ต.ต.ปชา รัตนพันธ์ รอง ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพรัช คุ้มล้อมล้วน ผกก.สภ.สารภี จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.ฐานันดร วิทยาวุฑฒิกุล นวท.(สบ3) หัวหน้าพิสูจน์หลักฐานเชียงใหม่ ได้เดินทางไปที่โรงแรมเอสพี เลขที่ 69 ถนนศิริธร ต. ช้างเผือก อ. เมืองเชียงใหม่ ห้อง 211 ชั้น 2 ซึ่งเป็นจุดที่นายราชวัตรมาเข้าพัก หลังพบหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบริเวณสถานีขนส่งเชียงใหม่ ที่พบว่านายราชวัตรได้พาผู้ตายเดินทางมายังจ.เชียงใหม่โดยรถทัวร์เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะเช็กเอาต์ออกในวันที่ 6 ส.ค. และพบศพถูกเผาวันที่ 7 ส.ค.
...
จากการตรวจสอบห้องที่นายราชวัตรเคยพัก เจ้าหน้าที่พบหมวกที่นายราชวัตรใส่ ซึ่งเป็นใบเดียวกันกับที่ น.ส.ลลิตา ได้บันทึกภาพคู่กันไว้ เป็นหมวกแก๊ป วางไว้บนหลังตู้ ขวดสุราหงส์ทองถูกดื่มจนหมดแล้ว มีดคัตเตอร์ และเหรียญบาทที่ลืมไว้ในห้อง ทางเจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน โดยจะนำหมวกส่งไปตรวจดีเอ็นเอ ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดของทางโรงแรมขณะที่นายราชวัตรเข้าพัก พบว่าในช่วงวันเวลาดังกล่าวกล้องได้ถูกลบภาพไปแล้วและบางกล้องก็เสีย เพราะมีฝนตกหนัก ยังไม่ได้ซ่อม ทางตำรวจจึงได้สอบปากคำผู้ดูแลไว้ และตรวจสมุดรายชื่อผู้เข้าพัก ซึ่งก็พบรายชื่อของนายราชวัตร มาเซ็นเข้าพักที่ห้องดังกล่าว โดยทางผู้ดูแลโรงแรมได้ให้การเบื้องต้นว่า เห็นนายราชวัตร เข้ามาพักที่โรงแรมเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เห็นมีหญิงสาวมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางชุดสืบสวนได้เข้าตรวจเช็กกล้องวงจรปิดที่บริเวณขนส่งอาเขต และเฟซบุ๊กของผู้ตาย พบว่าผู้ตายกับนายราชวัตร ได้นั่งรถทัวร์ของนครชัยแอร์ มาที่เชียงใหม่ ถึงตี 5 ของวันที่ 5 ส.ค 58 จากนั้นทั้งคู่อยู่ในเชียงใหม่ตลอด กระทั่งต่อมาในวันที่ 6 ส.ค นายราชวัตร ได้มาเปิดโรงแรมเชียงใหม่เอสพีคนเดียว โดยที่นายราชวัตร ใส่หมวกแก๊ปเหมือนภาพถ่ายในเฟซบุ๊กของผู้ตาย และลืมไว้ในโรงแรม เจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งไปตรวจสอบจุดรถเช่าที่นายราชวัตรเช่ารถ และหาจุดที่นายราชวัตร ลงมือสังหารผู้ตายอย่างละเอียดอีกครั้ง
พล.ต.ต.ปชา รัตนพันธ์ รอง ผบช.ภาค 5 เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งอายัดตัวนายราชวัตร แก้วพรมรัตน์ ต้องรอออกหมายจับก่อน ส่วนการตรวจสอบที่โรงแรมเชียงใหม่เอสพี ยืนยันไม่ใช่เป็นจุดที่ก่อเหตุ แต่นายราชวัตรไปก่อเหตุสังหารเหยื่อที่อื่น และเข้ามาพักที่โรงแรมแห่งนี้ โดยเข้ามาเพียงลำพังคนเดียว ดังนั้นต้องหาจุดที่นายราชวัตร ก่อเหตุให้ได้ก่อน ขณะนี้ได้มีการประสานไปยังตำรวจสภ.พัทยา และ สภ.เมืองระยอง เพื่อขอข้อมูล เนื่องจากหลังจากที่กลับจากเชียงใหม่ ก็ไปก่อเหตุหลอกเหยื่อแล้วนำตัวไปสังหาร และกลับมาพักโรงแรมที่พัทยา ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมที่เชียงใหม่
นอกจากนี้ทางตำรวจภาค 5 ได้หลักฐานสำคัญในโรงแรม คือหมวกที่คนร้ายใส่และผู้ตายได้ถ่ายรูปคู่ลงในเฟซบุ๊กของผู้ตาย คนร้ายลืมไว้ในห้อง ถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเลยทีเดียว และทางเราได้นำไปให้แพทย์ตรวจดีเอ็นเอแล้ว รวมทั้งตำรวจวิทยาการเชียงใหม่ได้เก็บรอยนิ้วมือในห้องพักที่โรงแรมแห่งนี้ เพื่อประกอบสำนวนในคดีด้วย
รอง ผบช.ภาค 5 กล่าวด้วยว่า ในช่วงแรกคิดว่าฆาตกรที่ฆ่าเผาเหยื่อเป็นพวกจิตวิปริต แต่ปรากฏว่าจากพยานหลักฐาน พบว่า คนร้ายนั้นประสงค์ต่อทรัพย์ เพราะทองคำรูปพรรณหนัก 4 บาทของน.ส.ลลิตาได้หายไป และภาพจากเฟซบุ๊ก เห็นชัดเจนว่าผู้ตายใส่สร้อยและแหวนทองคำมาด้วยตอนมาเชียงใหม่ และได้ถ่ายภาพคู่กับนายราชวัตร ส่งไปให้เพื่อนได้ดู ส่วนสาวที่พัทยาที่ถูกนายราชวัตรฆ่าเผา ก็ปรากฏหลักฐานว่ามีการเบิกเงินสดจากธนาคารที่พัทยาติดตัวไปด้วยจำนวน 300,000 บาท จึงแน่ชัดว่าคนร้ายรายนี้กระทำการเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจยังคงรอผลดีเอ็นเอ จากแผนกนิติเวช รพ.มหาราช แต่หลักฐานที่ได้มามากขนาดนี้ ก็สามารถขออนุมัติหมายจับได้แล้ว แต่ทางเราต้องการให้ชัดเจนที่สุด
"ได้ประสานสอบถามไปยังผู้การ จ.ชลบุรี และสืบสวนจังหวัดชลบุรี ก็ทราบว่าผู้ต้องหาคือนายราชวัตรนั้น ช่วงที่เข้าไปสอบปากคำในเรือนจำ จะทำเป็นพูดภาษาไทยคำ ภาษาอังกฤษคำ ลักษณะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ แต่ภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ผู้ตายเดินมากับคนร้ายที่พัทยานั้นชัดเจนอย่างมาก ส่วนที่เชียงใหม่เป็นภาพผู้ตายลงรถที่อาเขตเดินคู่มากับนายราชวัตร รวมทั้งภาพจากเฟซบุ๊กของผู้ตายที่ถ่ายคู่กับนายราชวัตร ตอนมาถึงเชียงใหม่ เพื่อต้องการบอกให้เพื่อนได้รับรู้ว่ามาเชียงใหม่ ก็ชัดเจน คนร้ายรายนี้ลงมือสังหารเหยื่อโดยไม่ใช้อาวุธ แต่จะใช้กำลัง เช่น บีบคอ "
ส่วนที่พัทยา คนร้ายใช้มือจับศีรษะของผู้ตายกระแทกอย่างรุนแรงจนเสียชีวิต และใช้ยางรถยนต์ช่วยในการเผา ส่วนเชียงใหม่ คนร้ายใช้เพียงน้ำมันอย่างเดียวแล้วเผา ขณะนี้หลักฐานต่างๆ ได้รวบรวมจนแน่นหนามาก เหลือแต่ผลตรวจของนิติเวช เชื่อได้ว่านายราชวัตรนั้นคือคนร้ายที่ก่อคดีฆ่าแล้วเผา นางสาวลลิตา อย่างแน่นอน ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ และได้ส่งฟันเหล็กดัดที่ผู้ตายเคยทำที่คลินิกที่พัทยา ส่งไปทางเครื่องบินให้ทางตำรวจ สภ.พัทยา เพื่อตรวจสอบกับคลินิกที่ผู้ตายเคยทำฟันไว้ที่พัทยา เพื่อรวบรวมนำไปตรวจที่แผนกนิติเวชฯ ให้ชัดเจนต่อไป.
...