ตู้มมม!!! เสียงระเบิดสนั่นไปทั่วทั้งอำเภอเมืองปัตตานีกว่า 10 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก หนึ่งในนั้นเป็นสองแม่ลูกผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังเลือกซื้อสินค้าภายในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง
เนื่องในวันแม่ 12 สิงหาคม ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอพาผู้อ่านไปเปิดชีวิต ‘แม่ผู้ยิ่งใหญ่’ วัย 35 ปี ผู้รักลูกสุดหัวใจ กระเตงหนูน้อยวัย 6 ขวบ ฝ่าระเบิดออกมาจากร้านสะดวกซื้อ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามได้ที่นี่...
ย้อนเรื่องราวสุดสะเทือนขวัญ ฝังใจแม่ไม่มีวันลืม !!
นางนะดา สาวิชัย อายุ 35 ปี แม่ของ ด.ญ.แวซีตีอัยซะห์ หนูน้อยวัย 6 ขวบ ชาวจังหวัดปัตตานี นะดาเป็นแม่บ้าน คอยรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน ส่วนสามีของเธอทำงานเป็นอาสาสมัครชายแดน นะดาเล่าย้อนอดีตสุดฝังใจให้ทีมข่าวฟังว่า...เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 24 พ.ค. 2557 เธอและลูกสาววัย 6 ขวบ ได้แวะเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งปกติเธอกับลูกไม่เคยเข้าร้านสะดวกซื้อสาขานี้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะความบังเอิญที่เป็นทางผ่าน เธอจึงลองแวะเข้าไปสำรวจราคาสินค้าที่สาขานี้ว่าแตกต่างกับสาขาอื่นมากน้อยเพียงใด
...
เมื่อสองแม่ลูกเข้าร้านสะดวกซื้อไม่ถึง 5 นาที ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ตู้มมมม!!! เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แต่นะดากลับยังไม่ทราบว่านั่นคือเสียงของระเบิด ตัวเธอยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ก้มหัวลงหรือหลบอะไรทั้งสิ้น หลังจากสิ้นเสียงระเบิด ไฟฟ้าบริเวณนั้นก็ดับลงครู่หนึ่งก่อนจะติดเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ไฟมาเธอเห็นลูกสาวตัวเล็กนั่งอยู่ข้างๆ เธอที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปพักหนึ่งนะดารู้สึกแสบที่เท้าของเธอ และเมื่อหันไปมองพบว่ามีเลือดออกเต็มเท้าไปหมด รวมทั้งยังมีเศษแก้ว เศษกระจกแตกเต็มร้าน เธอมองไปรอบๆ ก็ไม่พบคนที่อยู่ในร้านเลยแม้แต่เพียงคนเดียว
หนูน้อยวัย 6 ขวบ นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ ขาของผู้เป็นแม่ พร้อมกับเก็บเศษไอศกรีมที่กระเด็นมาติดตามเสื้อออกไปเรื่อยๆ พอเก็บไปจนถึงที่ขาบริเวณตาตุ่ม เด็กน้อยตะโกนเรียกแม่ในทันที “แม่ๆ ดูขาหนูหน่อยสิ ขาหนูเป็นอะไร” นะดา หันไปมองตามเสียงลูกน้อย พร้อมกับตกใจและทำอะไรไม่ถูก ร้องเรียกหาพระอัลเลาะห์ให้ช่วย และด้วยความที่ปกติแล้วเธอจะเป็นคนที่กลัวเลือด เห็นเลือดแล้วจะเป็นลม แต่เหตุการณ์วันนั้นเธอบอกกับทีมข่าวว่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็ไม่กลัวเลือดไม่เป็นลม ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องเรียกให้คนมาช่วย “ช่วยด้วยค่ะๆๆ ลูกดิฉันขาขาด” แต่ก็ไม่แม้แต่จะเห็นเงาใครเข้ามาช่วยเหลือเธอสักคนเดียว
หัวใจแม่เด็ดเดี่ยว อุ้มลูกน้อยฝ่าระเบิดส่งโรงหมอ
ขณะที่ ขาของหนูน้อยมีเพียงแค่กระดูกสีขาวที่เนื้อหนังร่อนออกไปจนหมด เนื่องด้วยความรักของแม่ที่กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไป นะดาตัดสินใจอุ้มลูกออกจากเซเว่นฯ ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองก็มีอาการบาดเจ็บที่ขาจากการโดนสะเก็ดระเบิด ตอนนั้นเธอบอกว่า คิดอยู่อย่างเดียวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะต้องพาลูกออกจากที่นี่ให้ได้ เพราะกลัวว่าจะมีระเบิดลูกที่สองตามมา
ภาพของแม่ใจเด็ดอุ้มลูกออกจากร้านสะดวกซื้อ พร้อมๆ กับเสียงระเบิดลูกที่สองที่อยู่ในซอยถัดไปดังขึ้นตามหลัง ตู้มมมมม!!! เธอยังคงวิ่งฝ่าออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนด้านนอก พร้อมๆ กับเลือดของสองแม่ลูกที่ไหลปะปนกันไปหมด วินาทีนั้นนะดาเล่าว่า เธอเริ่มรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา แต่ด้วยความรักจึงอยากส่งลูกให้ถึงมือหมอก่อน แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เธอจึงขอร้องอ้อนวอนให้เขาช่วยพาลูกเธอไปส่งโรงพยาบาล แต่ชายคนดังกล่าวกลับถอยหลังหนีไป
นะดา ยังคงยืนรอความช่วยเหลืออยู่ริมถนนพร้อมร้องเรียกให้คนมาช่วย แต่คนแถวนั้นยังคงหวาดระแวงไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย กระทั่ง เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบวิ่งเข้ามาเห็นพร้อมกับโทรเรียกรถพยาบาลให้ เพียง 5 นาทีรถก็มาถึง เจ้าหน้าที่พยุงตัวเธอและลูกสาวส่งโรงพยาบาลทันที แต่เสียงระเบิดยังคงดังสนั่นหวั่นไหว และมีกลุ่มควันตลอดทางที่จะไปโรงพยาบาล
...
หัวอกคนเป็นแม่ ‘ใจจะขาด’ เมื่อลูกน้อยยังคงนอนนิ่ง
ด้านสภาพจิตใจของเธอในตอนนั้น นะดา เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “มันแย่มาก ไม่สามารถจะพูดกับใครได้ คิดอะไรไม่ออก พยายามกลั้นใจตัวเอง แต่ว่าภาพเหล่านั้นยังสะท้อนจิตใจอยู่ตลอดเวลา คนรอบข้างก็คอยให้กำลังใจบอกว่าลูกสาวปลอดภัยแล้ว ขาไม่ขาดต่อได้แล้ว ก็มีคนมาปลอบใจอยู่เรื่อยๆ ก็เลยบอกไปว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะขาน้องขาดตั้งแต่อยู่ในเซเว่นฯ แล้ว และจะเอาที่ไหนมาต่อ ถึงแม้รู้ว่าทุกคนพยายามปลอบใจก็ตาม แต่ก็บอกไปว่าไม่จริงๆ พอได้ยินข่าวว่าน้องอยู่ห้องไอซียู 2 คืนแล้วยังไม่ฟื้น ยิ่งทำให้ความรู้สึกของคนเป็นแม่ใจจะขาดในตอนนั้น ข่าวก็ออกทุกวันเห็นภาพเดิมๆ แบบนั้น ยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกว่าเป็นความผิดที่พาลูกเข้าไปในเซเว่นฯ วันนั้น ได้แต่โทษตัวเองอยู่อย่างนั้น”
...
หลังจากนั้น แพทย์ก็ได้ช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 6 ขวบไว้ได้ โดยจะต้องใส่ขาเทียมข้างขวาตลอด ซึ่งหนูน้อยก็สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป เพียงแต่อาจจะล่าช้ากว่าเพื่อนๆ เวลาทำกิจกรรมต่างๆ
ภาพติดตา ความรู้สึกติดใจ แผลเป็นจากเหตุการณ์ร้ายของคนเป็นแม่
หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไป ครอบครัวของนะดาต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเคย แต่สิ่งที่ยังคงติดตราตรึงใจ คือ ภาพเหตุการณ์ร้ายที่ยังคงหลอกหลอนไม่เสื่อมคลาย นะดา เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า บางครั้งอยู่ดีๆ ก็สะดุ้งขึ้นมาเองโดยที่ไม่รู้ตัว ขากระตุกเอง และตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนกับจะเป็นโรคเหม่อลอยซึมเศร้า ขณะที่กำลังคุยๆ กันอยู่แต่จิตใจกลับล่องลอยไปเหมือนไม่ได้ฟังที่พูด
...
“ทุกวันนี้ยอมรับว่ายังมีความรู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งช่วงที่มีข่าวออกตามสื่อต่างๆ ยิ่งเป็นแถวใกล้บ้านๆ ก็ทำให้ระแวงไม่กล้าออกตลาดเท่าไร ถ้าจะไปก็จะให้แฟนหรือน้องชายไปเป็นเพื่อน” ผู้เป็นแม่ พูดด้วยความกังวล
กำลังใจ กัดฟันสู้ รับความจริง เป็นแม่นั้นไม่ง่าย !?
ว่ากันว่า..กำลังใจจากครอบครัวสำคัญที่สุด ครอบครัวนะดาก็เช่นเดียวกัน “กว่าจะผ่านมาได้ต้องกัดฟันสู้แบบสุดๆ มีแฟน พ่อแม่ ญาติพี่น้องที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครตอกย้ำซ้ำเติม และยังบอกให้อยู่กับความจริงกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จะไปเรียกร้องอะไรก็คงไม่ได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย จะต้องเอาชนะและผ่านมันไปให้ได้”
ลูกเป็นดวงใจของแม่ จับมือกันก้าวผ่านเรื่องเลวร้าย
ส่วน เจ้าตัวเล็กวัย 6 ขวบ ลูกสาวของนะดา ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังพูดคุยร่าเริงเหมือนเดิม ไปโรงเรียนได้ตามปกติ การเรียนอยู่ในระดับดี “คุณครูบอกว่าเป็นคนฉลาดช่างถาม สอนครั้งเดียวก็ทำได้แล้ว เคยถามเขาว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาก็บอกว่าอยากเป็นคุณครู เพราะว่าจะได้สอนหนังสือให้เด็กที่เป็นอิสลาม อันที่จริงอยากเป็นหมอ แต่กลัวเลือดเลยไม่เอาดีกว่า”
นะดา พูดถึงลูกสาวสุดที่รักที่เพิ่งจะผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน ว่า “ต้องเอาใจใส่ดูแลเขามากกว่าเดิม จากที่เมื่อก่อนปล่อยให้ไปเล่นกับเพื่อนๆ ด้วยความวัยซนของเด็ก แต่ตอนนี้ก็ต้องห้ามไว้บ้าง เนื่องจากขาเทียมของเขาเป็นซิลิโคน และตั้งแต่ที่ทำมาได้ขึ้นไปเปลี่ยนที่กรุงเทพฯ 4-5 ครั้งแล้ว เพราะว่าซิลิโคนเป็นเนื้อที่บางมาก พอเดินกับพื้นทรายที่บ้าน มันก็ทำให้เป็นรอยร้าว พอทรายยัดเข้าข้างในมันก็ทำให้อุปกรณ์ขยายขึ้นๆ และแตกเร็วชำรุดง่าย”
“พยายามให้กำลังใจลูกทุกอย่าง บางทีในโทรทัศน์มีรายการกีฬาของคนพิการก็เรียกลูกมาดูและบอกเขาว่าดูสิเขาไม่มีขาทั้งสองข้างเขายังทำได้เลยนะ แต่ว่าหนูต้องทำให้ได้เหมือนอย่างเขาและอย่าให้เพื่อนๆ มาล้อ ต้องทำตัวเองให้เก่งกว่าเพื่อน อย่าให้เพื่อนมาประเมินค่าอย่างสิ่งที่เขาเห็น ตอนนี้หนูทำได้เหมือนคนปกติทุกอย่างถึงแม้มันจะเป็นขาปลอม แต่มันก็สามารถพยุงตัวหนูให้ลุกขึ้นมาสู้ได้โดยไม่แพ้คนอื่นๆ เลย” คำพูดทิ้งท้ายของนะดา แม่ผู้ยิ่งใหญ่ของ ด.ญ.แวซีตีอัยซะห์.