ตร.รวบ หนุ่มหนองคาย ตกงาน งัดร้านขายมือถือหน้าห้างดัง กลางเมืองอุดรฯ รับสารภาพ กลับบ้านเกิด นำเงินไปเที่ยวเตร่ ซื้อสารระเหยสูดดม เผยเคยขโมยจยย.แม่ยายไปขาย จนไม่ยอมให้เข้าบ้าน
เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 4 สิงหาคม ร.ต.อ.ศัลย์ พินิจวัฒนา สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ร.ต.อ.อรรคพล ยี่เกาะ ร.ต.ท.บรรจง พาดตคร ร.ต.ท.วิเชียรคล้อยดี รอง สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี พร้อมด้วยตำรวจสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ควบคุมตัว นายสุริยา หรือ ปุ๊ ภูชุม อายุ 27 ปี บ้านเลขที่ 150 ม.4 ต.โพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย พร้อมของกลางกระเป๋าสะพาย สีน้ำตาล 1 ใบ ข้างในมีโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน จำนวน 4 เครื่อง และอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ 3 ชุด
หลังก่อเหตุบุกเดี่ยวงัดร้านขายโทรศัพท์มือถือ บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี ซุปเปอร์สโตร์ สาขาอุดรธานี ถ.นิตโย ต.หมากแข้ง เขตเทศบาล นครอุดรธานี ช่วงกลางดึกวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยใช้มีดที่ทำมาจากตะไบเหล็กปลายแหลม กรีดแผ่นพลาสติก บริเวณข้างประตูร้านโจโจ้ โมบาย เข้าไปใช้กุญแจผีสะเดาะกุญแจเปิดล็อกประตูตู้เก็บสินค้าภายในร้าน ขโมยเอาสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์กว่า 20 เครื่อง มูลค่ากว่าครึ่งแสน
ก่อนขยับไปลงมืองัดร้านขายมือถือที่ อยู่บริเวณเดียวกันอีก 2 ร้าน แต่ไม่สามารถสะเดาะกุญแจเปิดตู้เก็บสินค้าได้ เนื่องจากเจ้าของร้านใช้กุญแจนิรภัยเกรดเอ ก่อนหลบหนีพร้อมของกลาง ไปกบดานที่บ้านเกิด ในตัวเมืองหนองคาย หลังก่อเหตุได้เพียง 3 วัน ตำรวจออกสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้พร้อมของกลาง ขณะเดินตระเวนเร่ร่อนขายสินค้าที่โจรกรรมมา นำไปเที่ยวเตร่ ซื้อเหล้าขาวมาดื่ม และสารระเหยมาสูดดม ที่บริเวณถนนกลางหมู่บ้านหนองเดิ่น ต.โพธิ์ชัย อ.เมือง หนองคาย มาทำการสอบสวนที่ สภ.เมืองอุดรธานี
...
ทั้งนี้ขณะ ตร.ควบคุมตัวผู้ต้องหา ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เกิดเหตุได้ยกมือไหว้ขอโทษสำนึกในการกระทำผิดต่อทรัพย์ของ นายภาณุพงค์ บุญสงค์ อายุ 41 ปี ชาว อ.เมือง สกลนคร เจ้าของร้าน โจโจ้ โมบาย ซึ่งทางผู้เสียหายก็ได้รับไหว้ตอบ พร้อมกับให้อภัยในด้านมนุษยธรรม แต่ด้านกฎหมายก็ขอให้เป็นไปตามกรรมที่ก่อ และขอชื่นชมตำรวจสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ที่ติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ได้อย่างรวดเร็ว
ร.ต.อ.ศัลย์ พินิจวัฒนา สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า จากการสอบสวน นายสุริยา หรือปุ๊ ภูชุม ให้การรับสารภาพว่า ก่อเหตุงัดร้านโจโจ้ โมบาย บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี จริง หลังเดินทางกลับมาจากกทม. ช่วงหยุดยาวเทศกาลวันเข้าพรรษา หลังตกงาน หวังกลับมาเยี่ยมภรรยาและลูก ที่บ้านแม่ยาย ต.หนองนาคำ อ.เมืองอุดรธานี เพื่อขอขมาแม่ยาย ที่เมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา ตนนำรถจักรยานยนต์ของแม่ยาย ที่ให้ใช้ขี่ไปทำงานทุกเช้า-ค่ำ ไปขายให้เพื่อนชาวลาว ในราคา 15,000 บาท นำไปเที่ยวเตร่ ดื่มกิน สูดดมสารเหย จนเงินหมด ก่อนหลบหนีไปทำงานที่ กทม. ซึ่งแม่ยายไม่ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ แต่ไม่ยอมให้อภัยตน และไม่อนุญาตให้เข้าบ้านอีก ภรรยาตน จึงขับรถจักรยานยนต์มาส่งที่ บขส.แห่งที่ 1 เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิด
ระหว่างทางตนจึงใช้อุบายให้ภรรยาจอดรถจักรยานยนต์ รอที่หน้าห้างบิ๊กซี ก่อนบอกภรรยาว่า จะเข้าไปทำธุระส่วนตัวในบริเวณห้างดังกล่าว โดยภรรยาไม่รู้เรื่องราวที่ตนได้ก่อเหตุแต่อย่างใด หลังจากนั้น ตนได้นั่งรถโดยสารประจำทาง กลับบ้านที่ จ.หนองคาย แต่ไม่ยอมเข้าบ้านพัก โดยจะตระเวนขอพักอาศัยอยู่ตามบ้านเพื่อน ก่อนเดินตระเวนขายสินค้าที่ขโมยมา ให้ชาวลาวตามบริเวณ บขส.และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จังหวัดหนองคาย นำเงินไปเที่ยวเตร่ และซื้อสารระเหยมาสูดดม ขายไป 3 วัน จนเหลือโทรศัพท์เพียง 4 เครื่อง และกำลังจะนำไปเดินเร่ขาย ก็มาถูกตำรวจติดตามมาจับกุมตัวได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์เข้าทางช่องทางซึ่งไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะหรือรับของโจร” ควบคุมตัวส่ง พ.ต.ท.ประยงค์ จอมสมสา พงส.ชำนาญการพิเศษ สภ.เมืองอุดรธานี ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป.