ไก่กับไข่ใครเกิดก่อนกัน วันนี้ไม่เป็นปัญหาโลกแตกอีกต่อไป เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดจนได้ข้อยุติแล้วว่า ไข่เกิดก่อน...แต่ปัญหาลิงแสม ที่แขวงท่าข้ามกับแสมดำ บางขุนเทียน กำลังถูกคนรุกไล่ที่อย่างหนัก จนไม่เหลือแหล่งหา อาหาร และที่ซุกหัวนอน วันนี้ยังหาข้อยุติระหว่างคนกับลิงไม่ได้
ภาพลิงแสมแม่ลูกอ่อนบ้าง ท้องแก่บ้าง หรือแม้แต่ลูกลิงตัวน้อย ที่ยังไม่หย่านม วิ่งเพ่นพ่านออกมารับของกินจากคนใจบุญ ที่หยิบยื่นให้ข้างถนน ซึ่งขวักไขว่ไปด้วยรถรา...ลิงบางตัวไม่ทันระวัง ถูกรถทับตายบ้าง ไม่ก็ถูกชนแขนขาหัก ร้องโหยหวนต้องกะเผลกขาเป๋ วิ่งหนีรถตกลงไปอยู่ในคูน้ำข้างทาง เป็นภาพที่ผู้คนย่านท่าข้าม และแสมดำ ชาชิน
แต่กลับยังไม่มีใครยื่นมือเข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
ลิงแสมกลุ่มแรกมีอยู่ 3 ฝูงรวมกันราว 200 ตัว ปักหลักอยู่ที่ดงแสม บริเวณเชิง สะพานคุณกะลา แขวงท่าข้าม ริม ถ.เลียบพระราม 2
อีกกลุ่มซึ่งเล็กกว่า มีอยู่ประมาณ 50 ตัว พวกมันตกที่นั่งลำบาก หรือน่าเห็นใจกว่าลิงกลุ่มแรก เพราะมีชะตากรรมไม่ต่างกับชาวสลัมโดนไล่ที่ พวกมันปักหลักอยู่ที่ป่าลิงแสมดำ ริมถนนระหว่างหมู่บ้านสินทวี กับโรงงานบีทีเอ็นจิเนียริ่ง พาร์ท จำกัด ในซอยเทียนทะเล 20
“มันอยู่ของมันที่นี่มานานแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่านานมาแล้วแค่ไหน คนเฒ่าคนแก่ในพื้นที่บางคนว่า เห็นพวกมันมาตั้งแต่พวกเขายังเล็ก”
ธนงศักดิ์ สมพันธ์ หรือ “ขน” วัย 37 ปี คนขายกล้วย ถั่ว และข้าวโพด แก่ผู้ใจบุญซื้อไปเป็นอาหารเลี้ยงลิง ที่เชิงสะพานคุณกะลา เปิดประเด็น
เขาว่า ด้านหลังป่าแสมริมถนน จากจุดที่เขาขายอาหารลิง ถ้าเดินเลียบชายคลองเข้าไปอีกสักครึ่งกิโลเมตร ยามพลบค่ำ คือแหล่งที่ลูกหลานหนุมานฝูงใหญ่ ใช้เป็นที่หลับนอน
...
ขนว่า เมนูโปรดของลิงแสม คือกล้วยไข่ ข้าวโพดดิบ และถั่วลิสงตามลำดับ
ในวันธรรมดา เขามียอดขายอาหารลิง เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท หักต้นทุนและโสหุ้ยแล้วเหลือกำไรเข้าบ้าน วันละประมาณ 300-400 บาท วันเสาร์-อาทิตย์ พิเศษหน่อย มีคนใจบุญแวะมาให้อาหารลิงเยอะ ยอดขายของเขาถีบตัวขึ้นไปถึง 4,000 กว่าบาท เหลือกำไรเข้าบ้าน ประมาณครึ่งต่อครึ่ง
“ที่มันต้องออกมาหากินริมถนน เสี่ยงให้รถเฉี่ยว รถทับ เป็นเพราะพวกมันถูกบีบจากคนที่รุกพื้นที่ป่าแสม ซึ่งพวกมันเคยใช้เป็นถิ่นอาศัย และหาอาหาร จนป่าลิงเริ่มร่อยหรอลงไปทุกวัน กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร บ้านคน หรือโรงงานผุดขึ้นมาแทน”
ขนบอกว่า บางคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นลิงถูกรถชน หรือถูกรถทับตายคาถนน รู้สึกสังเวช พยายามจอดรถลงไปช่วยลากเอาร่าง หรือซากลิงเข้าข้างทาง เพื่อไม่ให้รถที่ผ่านไป-มาทับซ้ำจนดูอุจาด
แต่ด้วยความไร้เดียงสา บวกกับสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ฝูงลิงที่เห็น คิดว่าคนที่ลงมาช่วย คือศัตรู ที่ทำให้ญาติ หรือลูก เมียของมันได้รับบาดเจ็บและถูกฆ่าตาย ด้วยความโกรธแค้น ลิงในฝูงจึงกรูกันเข้าไปจู่โจมไล่กัด จนคนที่เข้าไปช่วย ต่างวิ่งหนีกันน้ำบานกระเจิง
เขาบอกว่า แม้ 2 ฝั่งถนน ก่อนถึงจุดที่ลิงออกมาหากินเสี่ยงรถทับ มีการติดป้ายเตือน “ขับรถระวังชนลิง” ก็ตาม แต่รถที่ขับผ่านไป-มาย่านนั้น ก็ยังคงขับกันด้วยความเร็ว จนมีลิงที่ถูกรถชนได้รับบาดเจ็บ และถูกรถทับตายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกลิงตัวเล็กๆ ที่วิ่งไล่กันข้ามถนน
กรณีคล้ายคลึงกัน เมื่อเทียบกับฝูงลิงที่ ศาลพระกาฬ และพระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี แม้เหล่าวานรทั้งหลาย จะวิ่งเพ่นพ่านกันกลางถนนในเมือง แต่กลับเป็นที่น่าสังเกตว่า ไฉนสถิติลิงเหล่านั้น ถูกรถชน หรือรถทับ มักไม่ค่อยมีข่าว
เป็นไปได้หรือไม่? เพราะความเชื่อศรัทธากันว่า เหล่าวานรเหล่านั้น คือลูกหลาน หรือบริวารของเจ้าพ่อพระกาฬ ขืนใครเผลอไปขับรถชนมันเข้า มีหวังซวยทั้งปี แต่ละคนจึงขับรถรา...ด้วยความเกรงใจเจ้าพ่อฯ
ผิดกับฝูงลิงที่บางขุนเทียน พวกมันไม่มีเครดิต เป็นศิษย์ หรือบริวารของเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ให้ผู้คนเกรงขาม รถราที่ผ่านไป-มา จึงดูเหมือนไม่เกรงใจทั้งลิง และป้ายประกาศที่ติดไว้เตือน
ปัญหาที่เกิดขึ้น หลายคนจึงเห็นว่าน่าจะมีการปักป้ายเตือนขนาดที่ใหญ่กว่าเก่า สามารถสังเกตเห็นได้เด่นชัดในระยะไกล และติดตั้งสัญญาณไฟจราจรกะพริบ ช่วยย้ำเตือนอีกชั้น น่าจะเวิร์กกว่า
แต่ก็นั่นแหละ อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างถาวร...ที่ต้นเหตุ
เช่นเดียวกับปัญหาของลิงแสมอีกฝูง ใน ซ.เทียนทะเล 20 ซึ่งเป็นผืนป่าที่ลิงเคยใช้อาศัยและหากิน กำลังถูกรถแบ็กโฮเข้าไปบดขยี้ เตรียมเบิกทางให้มีการปรับและถมที่ดิน จนลิงย่านนั้นเดือดร้อนกันไปทั่ว
ศิริวรรณ ยุติพงษ์ พนักงานบริษัทบี.ที.เอ็นจิเนียริ่ง พาร์ท จำกัด ซึ่งอยู่ติดกับจุดเกิดเหตุ เล่าว่า เดิมทีพื้นที่บริเวณนั้นเรียกกันว่า “ป่าลิงแสมดำ บางขุนเทียน”
เธอว่า คนเก่าแก่ในพื้นที่เคยเล่าให้เธอฟัง เมื่อก่อนบริเวณดังกล่าว เคยเป็นอดีตวังปลา และวังกุ้ง (บ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง) ของเอกชนที่ปล่อยทิ้งร้าง จนมีต้นไม้ขึ้นกลายเป็นป่าแสม ทำให้มีลิงแสมฝูงใหญ่ประมาณร้อยกว่าตัว เข้าไปใช้เป็นที่อาศัยและหาอาหาร มาเป็นเวลาหลายสิบปี
แต่เมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน ความเจริญเริ่มรุกคืบเข้าไป เจ้าของที่ดินแปลงนั้น ได้เปลี่ยนสภาพจากป่าลิง ที่เหล่าวานรใช้อาศัยและหากินมาหลายชั่วอายุพวกมัน อย่างฉับพลัน จนลิงยังไม่ทันมีโอกาสได้ปรับตัว หรืออพยพไปหาบ้านเกิดเรือนตายแห่งใหม่ เรื่องน่าเศร้าทั้งหลายจึงตามมา
...
“จู่ๆเจ้าของที่ดิน สั่งให้รถแบ็กโฮเข้าไปโค่นต้นไม้ในป่าลิง จนลิงถูกต้นไม้ กิ่งไม้ ล้มทับ ฟาด หรือเกี่ยว จนบาดเจ็บกันเป็นเบือ พอต้นไม้ที่พวกมันเคยใช้อาศัยแทบไม่มีเหลือ แหล่งน้ำที่เคยใช้ดื่มก็ถูกถมทับไปหมด ลิงที่เหลือจึงต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ออกไปอาศัยตามข้างถนน เสาไฟ หรือบนกำแพงบ้านคน”
ศิริวรรณบอกว่า เมื่อลิงที่เคยอยู่แต่ในป่า ถูกคนรุกไล่ที่ เท่ากับบีบบังคับให้มันต้องออกมาใช้ชีวิตเพ่นพ่าน เก็บขยะกินตามข้างถนน บางส่วนที่หิวโหย อาจบุกเข้าไปหาของกินตามบ้านเรือนคน
บางส่วนที่อยู่ไม่สุข ตามนิสัยของลิง ปีนป่ายขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า รื้อสายเคเบิ้ล สายโทรศัพท์ มากัดแทะ และห้อยโหนเหมือนทาร์ซาน จนสร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้าน...ทั้งที่คนเป็นฝ่ายสร้างปัญหาให้พวกมันก่อน
เธอว่า คนที่ไม่ชอบลิง บางทีจึงแอบเอายาเบื่อมาวาง หรือเอาตาข่ายมาดักจับไปฆ่า ไม่ก็ขับรถไล่ชนมัน ส่วนคนที่มองอย่างเมตตา และเข้าใจสัตว์ ก็จะมองอีกอย่าง
“อย่างเถ้าแก่ที่โรงงาน แม้ท่านจะรำคาญ ที่ถูกลิงมารื้อหลอดไฟ สายเคเบิ้ล และสายโทรศัพท์ที่หน้าโรงงานบ่อยๆ แต่ท่านก็เมตตามัน สั่งห้ามพนักงานทุกคนว่า อย่าไปทำร้าย ให้แค่ขับไล่มันไปเฉยๆก็พอ”
ล่าสุด ได้ข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เข้าไปเจรจากับคนงานที่นำรถแบ็กโฮเข้าไปปรับพื้นที่บริเวณดังกล่าว...ให้เมตตาสัตว์ หรือเห็นแก่ลิงบ้าง แต่ถูกตอกหน้ากลับมาว่า
“ที่ดินผืนนี้ เป็นของเอกชน เจ้าของที่จะใช้ทำประโยชน์ หรือทำอะไรก็ได้”
กลายเป็นอีกบทเรียนน่าขบคิดว่า ท้ายที่สุดแล้วเพื่อความผาสุกของทั้งคนและลิง จะหาทางยุติเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร.