เมื่อเที่ยงคืนวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไต้ก๋งเรือประมงอวนซังลำหนึ่งเล่าว่า นำเรือประมงไปจับปลาในทะเลลึกทางทิศใต้ของ อ.เกาะกูด จ.ตราด ห่างเกาะกูดประมาณ 50 ไมล์ทะเล
บริเวณนั้นอยู่ในเขตน่านน้ำไทย มีการวางซังไว้ในทะเลเพื่อให้ปลามาอาศัย มีเรือประมงอวนซังลำอื่นๆหาปลาอยู่ใกล้ๆกัน 5 ลำ
อยู่ๆมีเรือเร็วขนาด 3 เครื่องยนต์ขับเข้ามาเทียบข้างเรือประมงลำหนึ่ง ในเรือมีชายแต่งกายคล้ายทหารเรือกัมพูชา 4 คน
อาวุธปืนครบมือ
ชาย 3 คนขึ้นไปบนเรือประมงพร้อมปืนอาก้า พูดภาษากัมพูชา ใช้ปืนจี้ไต้ก๋งสั่งห้ามไม่ให้ใช้เคร่ืองมือสื่อสาร
จากนั้นชาย 2 คนกลับลงเรือเร็วไปขึ้นเรือประมงอีก 2 ลำใช้ปืนจี้ไต้ก๋งยึดเรือทั้ง 2 ลำ บังคับเรือทั้ง 3 ลำมุ่งหน้าเข้าไปในน่านน้ำกัมพูชา
เรือของเขาไม่ได้ถูกจี้คงเป็นเพราะชายฉกรรจ์มากันเพียง 4 คนจึงจี้ไปได้เพียง 3 ลำ เขาพยายามใช้วิทยุ “มดดำนาวี” ติดต่อเรือทั้ง 3 ลำแต่ติดต่อไม่ได้
เขาเห็นท่าไม่ดีรีบพาเรือไปที่เกาะกูดและแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอความช่วยเหลือไปยังทหารเรือที่อยู่ในพื้นที่ อ.เกาะกูด
ปรากฏว่าได้รับการประสานกลับมาว่า ไม่มีเรือตรวจการณ์อยู่ใกล้ๆในย่านนั้น นอกจากนี้ยังต้องนำเอกสารต่างๆเกี่ยวกับเรือประมงไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่
ขณะนั้นเวลาเที่ยงคืนไม่สามารถหาเอกสารได้จึงนำเรือเข้าฝั่งที่ท่าเรือบ้านคลองสน
ตอนเช้าจึงได้ข่าวว่า ชายฉกรรจ์ที่แต่งกายคล้ายทหารกัมพูชานำเรือทั้ง 3 ลำพร้อมลูกเรือชาวกัมพูชากว่า 60 คนไปจอดที่อ่าวสลาตันในพื้นที่ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา
ต่อมาเจ้าของเรือทั้ง 3 ลำก็ได้รับแจ้งจากไต้ก๋งว่าถูกกัมพูชาตั้งข้อหากระทำผิดการประมง รุกล้ำเข้าไปในน่านน้ำกัมพูชา ให้นำเงินไปจ่ายค่าปรับ
ลำละ 1.3 ล้านบาท
เจ้าของเรือทั้ง 3 ลำยอมจ่ายเพราะมูลค่าเรือลำละกว่า 15 ล้านบาท ซ้ำยังมีปลาอยู่หลายตัน แต่ก็ต่อรองลดลงมาเหลือลำละ 1.1 ล้านบาท
ติดต่อและจ่ายเงินผ่านชาวกัมพูชาคนหนึ่ง
เมื่อได้เงินครบก็มีการปล่อยเรือทั้ง 3 ลำไปหาปลาต่อตามปกติ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย.