จากกรณีชาวโรฮีนจาที่อพยพย้ายถิ่นฐาน โยงไปถึงขบวนการค้ามนุษย์ พบว่าการเดินทางหลบหนีผ่านมาทางประเทศไทย ไม่ได้เข้ามาทางเรือเท่านั้น แต่มีบางส่วนที่เดินทางเข้ามาทางจังหวัดกาญจนบุรีด้วย ทีมข่าวไทยรัฐ เกาะติดสืบค้นเก็บพฤติกรรม แต่สิ่งที่ทีมข่าวค้นพบอย่างไม่ได้ตั้งใจ คือการสวมบัตรประชาชนคนไทยให้กับชาวต่างด้าวรายสำคัญ จนปัจจุบันกลายเป็นผู้มีอิทธิพล บงการให้มีการลักลอบค้ามนุษย์ ซึ่งเบื้องหลังเรื่องนี้เกี่ยวพันกับนักการเมืองท้องถิ่นด้วย

จากแนวทางสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบบุคคลชื่อ นายโจ (นามสมมติ) เป็นหัวหน้าขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติรายใหญ่ ที่มีอิทธิพลอยู่ในภาคตะวันตก ลักลอบค้าทั้งแรงงานเมียนมาและโรฮีนจา นำเข้ามาในพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศเมียนมากับจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งนายโจ เป็นที่รู้จักกันดีในวงการธุรกิจสีดำ และในวงข้าราชการบางกลุ่ม ที่ท่อน้ำเลี้ยงของนายโจไปถึง

จนได้รับฉายาว่า "โจ ตม."

ข้อมูลเชิงลึกพบว่า นายโจ มีสัญชาติเมียนมา เกิดที่จังหวัดทวาย เขตตะนาวศรี เมื่อ 20 ปีก่อน ขบวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐช่วยให้นายโจ ได้เข้ามาสวมบัตรประชาชนของ “นายมหาโชค สมมติ” ที่เสียชีวิตลงตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้นายมหาโชค สมมติ กลับมามีชีวิตอีกครั้งในคราบของคนต่างด้าว และมีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆ ของผู้ใหญ่บ้านตำบลด่านมะขามเตี้ยในขณะนั้น นายโจทำบัตรประชาชนครั้งแรก โดยสวมชื่อนายมหาโชค สมมติ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104 หมู่ 10 ตำบลด่านมะขามเตี้ย อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏชื่อของ นางจิ๋ว เป็นมารดา และนายบัวหลวง เป็นบิดา

...

ทำให้ "โจ" ได้สัญชาติไทยทันที

จากประสบการณ์ที่สั่งสมจากพ่อชาวกะเหรี่ยง เมื่อครั้งทำธุรกิจผิดกฎหมาย ทำให้นายโจ อาศัยความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ลักลอบพาคนต่างด้าวเข้าเมือง อาศัยการมีนามสกุลเดียวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซ้ำเป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อค้าผู้มีอิทธิพล จึงทำให้นายโจเติบโตในเส้นทางนี้อย่างรวดเร็ว และเพื่อความแนบเนียน ยากแก่การตรวจสอบ นายโจยังยื่นเรื่องขอทำบัตรประชาชนเปลี่ยนชื่อและนามสกุลอีกหลายครั้ง



วันที่ 21 มกราคม 2541 นายโจทำบัตรประชาชนเป็นครั้งที่ 2 ที่อำเภอด่านมะขามเตี้ย ใช้ชื่อ นายมหาโชค สมมติ แต่ปรากฏอายุ 15 ปี เท่าเดิม ทั้งที่เขาต้องมีอายุในบัตรประชาชน 20 ปีแล้ว วันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 นายมหาโชค สมมติ ทำบัตรประชาชนเป็นครั้งที่ 3 คราวนี้มีการย้ายชื่อเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้าน เลขที่ 84/113 หมู่ 10 ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ยังปรากฏในบัตรประชาชนว่าเขามีอายุ 19 ปี ทั้งที่ความจริงเขาต้องมีอายุ 28 ปี

วันที่ 18 เมษายน 2550 นายมหาโชค สมมติ ทำบัตรประชาชนครั้งที่ 4 ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น นายโชคอนันต์ เดชทวีทรัพย์ ระบุอายุ 29 ปี และย้ายเข้าบ้านเลขที่ 209 หมู่ 10 ตำบลด่านมะขามเตี้ย อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี

1 กรกฎาคม 2551 ทำบัตรประชาชนครั้งที่ 5 และยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชื่อเป็น นายธนกร เดชทวีทรัพย์ ระบุอายุ 30 ปี ที่อำเภอด่านมะขามเตี้ย ยังคงปรากฏชื่อ นางจิ๋ว เป็นมารดา และนายบัวหลวง เป็นบิดา ต่อมา วันที่ 10 มีนาคม 2558 มีการยื่นเรื่องขอทำบัตรประชาชนอีกเป็นครั้งที่ 6

จากการตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียนราษฎร จะพบความเชื่อมโยงอย่างหนึ่งว่า นายธนกร เดชทวีทรัพย์ หรือนายโชคอนันต์ เดชทวีทรัพย์ ซึ่งมีชื่อเดิมคือ นายมหาโชค สมมติ นั้น มีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆ ของนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เพราะปรากฏมีชื่อบิดาและมารดา เป็นชื่อเดียวกัน

เพื่อให้เกิดความชัดเจน ทีมข่าวจึงลงพื้นที่สอบถามชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่แต่ดั้งเดิมในละแวกนั้น ต่างให้ข้อมูลเป็นเสียงเดียวกันว่า นักการเมืองคนดังกล่าวเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว และต่างยืนยันว่า ส.จ.สมโภชน์ ไม่มีน้องชาย ขณะที่ข้อมูลจากที่ว่าการอำเภอด่านมะขามเตี้ย ซึ่งปรากฏมีชื่อของ “นายมหาโชค สมมติ” ในระบบทะเบียนราษฎรเป็นครั้งแรก ก่อนจะเปลี่ยนชื่อสุดท้ายเป็น “นายธนกร เดชทวีทรัพย์”

นายอำเภอด่านมะขามเตี้ย อ้างกับทีมข่าวว่า เรื่องที่นายธนกร มาสวมชื่อของน้องชาย ส.จ.สมโภชน์ที่เสียชีวิตลงนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริง แต่ไม่สามารถนำเอกสารใดๆ มาแสดงให้ทีมข่าวดูได้ และยอมรับว่ามีมูลความผิดจริง

...

ต่อมาปลัดฝ่ายทะเบียน อำเภอด่านมะขามเตี้ย ได้โทรประสาน นักการเมืองท้องถิ่นคนดังกล่าวว่า ทีมข่าวขอเข้าพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว แต่ได้รับการปฏิเสธ และเมื่อทีมข่าวพยายามโทรติดต่ออีกหลายครั้ง กลับไม่รับสาย

ปัจจุบัน นายธนกร เดชทวีทรัพย์ ยังมีสถานะเป็นน้องชายของนักการเมืองท้องถิ่นคนดังในจังหวัดกาญจนบุรี ที่แม้จะมีรายชื่อในบัญชีผู้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติแล้วก็ตาม แต่ก็ยังรอดการจับกุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไปได้ถึง 2 ครั้ง ขณะที่กรมการปกครองก็ยังไม่ยกเลิกสถานะทางทะเบียน ส่วนทางด้านคดี เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบยังไม่แจ้งความ หรือลงบันทึกประจำวันใดๆ แม้มูลความผิดจะปรากฏแล้วก็ตาม

การค้นหาคำตอบยังคงดำเนินต่อไป ทีมข่าวลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของขบวนการค้ามนุษย์ พบว่าที่ด่านชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี มีกลุ่มบุคคลสัญชาติเมียนมา มาอยู่ประจำที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ทำหน้าที่ยกไม้กระดกที่ใช้กั้นยานพาหนะและบุคคล ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก และนอกจากนี้ ยังพบอีกว่า บุคคลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่รับจ้างขนแรงงานต่างด้าว ระหว่างด่านพุร้อน และด่านทิคี่ประเทศเมียนมา โดยมีนายธนกร เดชทวีทรัพย์ เป็นหัวหน้าขบวนการ

...

จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรม พบมีรถตู้เวียนรับส่งคนเข้าออกด่านเป็นจำนวนมาก แต่พบมีรถตู้ต้องสงสัยคันหนึ่ง มีพฤติกรรมพิรุธใช้แผ่นพลาสติกหนีบปิดบังทะเบียนทั้งหน้าหลัง ขับผ่านหน้าด่านไปจอดพักอยู่บริเวณบริษัททัวร์ คนขับรถตู้ลงไปทักทาย และเดินเข้าออกบริษัททัวร์ที่เห็นในภาพอย่างสนิทสนม เวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมง รถตู้คันนี้ก็ขับผ่านด่านกลับไปยังฝั่งเมียนมาได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีการเรียกตรวจจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำด่าน เหมือนกับรถคันอื่นๆ ทีมเฝ้าพฤติกรรมอยู่จนถึงเวลาด่านปิด ก็ไม่พบรถตู้คันเดิมข้ามกลับมาฝั่งไทย

คนกลุ่มนี้จะมีการเรียกเก็บเงินจากแรงงานต่างด้าวที่ถือหนังสือผ่านเเดนชั่วคราว และต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทย หัวละ 3,500 บาท เงินจำนวนนี้ถูกแบ่งจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองบ้านทิคี่หัวละ 800 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองบ้านพุร้อนอีกหัวละ 1,800 บาท ส่วนที่เหลืออีก 900 เข้ากระเป๋าขบวนการค้ามนุษย์

แรงงานต่างด้าวทั้งหมด จะถูกขบวนการค้ามนุษย์พาหลบหนีออกนอกพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อนำไปส่งยังนายหน้าในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย รวมทั้งต่างประเทศ ขบวนการค้ามนุษย์จะได้ค่าหัวของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้จากนายหน้าอีกคนละ 15,000 บาท ส่วนแรงงานเถื่อนที่ไม่มีทั้งหนังสือเดินทางและหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ขบวนการค้ามนุษย์จะได้ค่าหัวจากนายหน้าเพิ่มเป็นหัวละ 40,000 บาท เงินจำนวนนี้จะถูกส่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รวมทั้งพื้นที่ทางผ่าน อีกหัวละ 5,000 บาท รวมรถตู้ที่ขนส่งแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย 1 คัน จะมีรายได้ กว่า 5 แสนบาท

...

หากขบวนการนี้ขนแรงงานต่างด้าวได้เพียงวันละ 10 คัน จะมีรายได้หมุนเวียนวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ที่จะได้รับส่วยวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท

และนี่คือรายได้มหาศาล ที่หมุนเวียนขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่ของภาครัฐเอง เป็นผู้อำนวยความสะดวก สร้างปัญหาอาชญากรรมให้กับสังคมและเศรษฐกิจ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือเรื่องการเข้ามาสวมบัตรคนไทยของ นายโจ หัวหน้าขบวนการนี้ ซึ่งถือเป็นปัญหาที่กระทบความมั่นคงของประเทศชาติอย่างร้ายแรง.

ทีมข่าวไทยรัฐรายงาน