ใกล้เที่ยงแล้วแดดเริ่มร้อนมากขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับแรงปรารถนาของบรรดาคนเฒ่าคนแก่ที่ยืนบ้าง นั่งบ้าง รอชมโนราหน้าลานวัดถ้ำรับร่อ (วัดเทพเจริญ) ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร 

เสียงโหม่ง ฉิ่ง กลอง ทับ ประโคมท่วงทำนองเพลง บนเวทีมีป้ายขนาดใหญ่เขียนคำว่า “เยาวชนคนชุมพร อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยต้านภัยยาเสพติด”

หลังเวที ครูต้อย ชื่อจริง ทัศนียา เมืองแก้ว อายุ 38 ปี โนราชื่อดังของชุมพร ขอแต่งหน้าทรงชุดโนราและทบทวนบทกลอน และถ้ารอได้ ขอให้จบการแสดงเสียก่อน จะคุยด้วย

ผ่าน 6 ชั่วโมงกับการแสดงโนรา ครูต้อยเดินมานั่งคุย

บ้านครูต้อย เลขที่ 21/48 หมู่ 2 ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ตอนเด็กๆ พ่อเคาะแกลลอน กะละมังทำเป็นเสียงดนตรี ตั้งแต่จำความได้ก็รำโนราเป็นแล้ว

“พ่อแม่ไม่มีเชื้อสายโนรา” ครูต้อยว่า “พ่อเคยเขียนกลอนแล้วท่องให้ฟังเป็นทำนองโนรา ตอนนั้นยังอ่านหนังสือไม่ออก ครูต้อยฟังจนจำได้”

3 ขวบ พ่อให้ป้าอ่ำ หรือนางอ่ำ ไทรทองคำ ครูโนราจากนครศรีธรรมราช มาสอนที่บ้าน ป้าอ่ำเป็นครูคนแรก จับมือครูต้อยสอน ตั้งวงเป็นยังไง จีบเป็นยังไง

พอ 7 ขวบ ก็ตั้งคณะนิคมอุดมศิลป์ รับงานแสดง อายุ 11 ปี เปลี่ยนชื่อคณะเป็น “ทัศนียา รพีพร”

จบ ม.6 ได้ทุนของจังหวัดไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยนาฏศิลป์พัทลุง เรียนเอกละคร พอว่างครูต้อยไปบ้านอาจารย์สองสามีภรรยา สกุลคงเกลี้ยง อาจารย์อาบ และอาจารย์น้อม ผู้เชี่ยวชาญวิชาการแสดงพื้นเมือง

สอนในสายหมื่นระบำ บันเทิงชาตรี

อายุ 16 ปี ปรับปรุงครั้งใหญ่เป็น “โนราคอนเสิร์ต” คณะแรกของภาคใต้ตอนบน ใช้ชื่อคณะ “ทัศนียา รพีพร คอนเสิร์ต เกรียงศักดิ์น้อยดาวรุ่ง” แล้วก็สร้างทีมงาน “ขวัญเรียมเมืองสุพรรณ รวีวรรณ จันทร์วงศ์” เดินสายการแสดงเกือบทั่วทุกจังหวัด

...

อายุ 20 ปี มีแนวคิดจะสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยในเชิงอนุรักษ์แบบโบราณ จึงร่วมกับโนรา เพ็ญศรี วิชัยดิษฐ์ ราชินีกลอนสดแห่งจังหวัดชุมพร จัดตั้งเป็นคณะ “เพ็ญศรี ทัศนียา” ครูต้อยได้รับการถ่ายทอดการแสดงโนรากลอนสดในแบบพิธีกรรมตามความเชื่อโบราณ

ตลอดระยะเวลาทั้งเรียน ทำงาน และหาประสบการณ์ ครูต้อยก็ยังถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคคลทั่วไปในท้องถิ่นและชุมชนต่างๆ เป็นวิทยาทานมากกว่า 15 ปี

ทำงานไป สอนคนอื่นไป ครูต้อยได้รับรางวัลศิลปินดีเด่นประจำปี 2538 จากสภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร

วันหนึ่งครูต้อยกับพันตรีสุวิทย์ สุขแก้ว นักจัดรายการวิทยุ มีความคิดตรงกันว่าโนรากำลังจะหมดไป ตามงานวัดก็ไม่ค่อยเห็น จะทำยังไงให้โนรายังอยู่ในชุมพรเหมือนเดิม

เห็นตรงกัน ควรร่วมกันปรับปรุง เพราะถ้ายังรำโนราแบบช้าเรื่อยไป กว่าจะรำกว่าจะแสดงก็ดึก และถ้าเครื่องดนตรีทำให้เด็กๆเรียก ผีโนรา เด็กไม่กล้าเข้าใกล้ เด็กไม่กล้าจับ ก็ไม่มีทางที่จะสืบทอดไปสู่เยาวชนรุ่นหลัง

จะเริ่มตรงไหน...เริ่มที่โรงเรียนในชุมพร ถ้าเอาศิลปะโนราเข้าไปในโรงเรียน จะทำให้การกระจายข่าวได้เร็ว ปี พ.ศ.2547 ครูต้อยสอนวิชาการแสดงโนราในตำแหน่งครูอัตราจ้างให้กับโรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา

“วันแรกที่เปิดรับสมัครเด็กเดินผ่านไปหมด” ครูต้อยเล่า “ไม่มีเด็กคนไหนมาสมัครโนราเลย เด็กไม่รู้จัก ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนเพื่ออะไร รู้สึกว่าเชยล้าสมัย”

โชคดี...มีเด็กมาสมัคร 8 คน ครูต้อยรีบฝึกอยากให้เก่งเร็วๆ ฝึกจนได้รางวัล เวลามีงานแต่งงาน งานบวช ก็ไปรำ ลักษณะของท่ารำเพิ่มความแปลกใหม่ไปเรื่อยๆ

จากเด็ก 8 คน จำนวนเด็กก็เพิ่มทุกปี จนกลายเป็นชุมนุม ผลงานเหล่านี้ครูต้อยใช้งบประมาณตัวเอง ส่วนเงินที่เด็กๆได้จากการรับงาน ได้มาเท่าไหร่ก็ลงกองกลาง ใช้เป็นค่าชุด ค่าเช่าบ้านและค่าอาหาร

“ก่อนหน้านี้ชุดต้องไปยืม บางทีได้มาคนละสี คนละชิ้น แต่ก็จำเป็นต้องใส่”

ตอนหลังมีเงินมากขึ้น ก็เริ่มสร้างเทริด ชุดลูกปัด ทุกอย่างเริ่มพร้อม ก็รวมตัวเป็นทีมงาน มีครูปราโมทย์ ดีชุม ลุงอนงค์ ขุนหวาน มือทับอันดับหนึ่งของชุมพร พันตรีสุวิทย์ สุขแก้ว และป้าอ่ำ ไทรทองคำ ซึ่งมีฝีมือเรื่องการเย็บปักถักร้อย

“ชุดที่ใช้แสดงป้าอ่ำใช้มือปักทั้งหมด” ครูต้อยว่า “ท่านมีใจเป็นกุศลมาก ทำฟรีทุกอย่าง”

ทำมาเรื่อยๆ มีรายได้เข้ามา เริ่มให้ค่าตอบแทนกับผู้แสดง จัดตามความสามารถ เริ่มต้นจาก 20 จนถึง 700 บาท

พ.ศ.2550 เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งด้านวัฒนธรรมโลกที่มณฑลหูโจว ประเทศจีน 13 ปีที่ผ่านมา งานนี้ถือว่าเป็นรางวัลสูงสุด
งานนั้นครูต้อยบอกว่า แค่เครื่องทรงโนรา อลังการมาก จนสะกดคนดูได้

ครูต้อยพูดถึงพัฒนาการของเด็ก เด็กที่เรียนโนราเป็นเด็กกล้าแสดงออก ถ้าเด็กขอทุนวัฒนธรรมจะได้ ท่าไม่สวยไม่ได้อันดับหนึ่ง ก็ได้ขวัญใจในความกล้า

“รุ่นน้องดูรุ่นพี่เป็นไอดอล รุ่นพี่คนนี้ประสบความสำเร็จใช้ความสามารถพิเศษรำโนราสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย เคยมีนักเรียนใช้เงินสะสมจากการแสดงโนราสร้างบ้าน เราทุกคนทั้งวงภูมิใจ”

13 ปี ในโรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา ครูต้อยเจอปัญหาตัดสินใจลาออก ความรู้สึกตอนนั้นแย่มาก หมดแรง ลูกศิษย์ก็มากอดคอร้องไห้

พ้นหน้าที่อาจารย์ ครูต้อยเริ่มงานใหม่ในนาม “โนราเยาวชนคนชุมพร” เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสอาดฯ และศิษย์เก่าที่ครูต้อยสอนมาทุกคน เอาเงินส่วนตัวลงทุนสร้างเทริดใหม่ ลุงอนงค์กับครูปราโมทย์ลงทุนเรื่องผ้าม่าน เรามีแค่ 2 อย่าง คือเครื่องแต่งกายกับผ้าม่าน ยังขาดอีกหลายอย่าง

เวลาแสดงเด็กที่รำต้องรอ เพื่อสลับชุด

...

การแสดงทุกครั้งครูต้อยเป็นคนเขียนบท ใช้เทคนิคสำหรับเด็กพูดภาษากลาง สอนให้เขาเลียนเสียง นั่งสอนทีละคำๆ แล้วเขาก็ร้องทีละวรรคให้ฟัง ท่องจนจำสำเนียงได้

ส่วนลูกศิษย์ที่เป็นคนใต้ เขียนกลอนให้ เวลาซ้อมทำอย่างนี้ นักเรียนต้องตอบแบบนี้ ให้ดูเป็นธรรมชาติ เหมือนเพิ่งร้องกันสดๆ

โชว์โนราเยาวชนคนชุมพรเต็มที่ทั้งคณะ เมื่อก่อนเดินผ่านหน้าเวทีโนรากว่าจะร่ายมนตร์ช้าเกินไป แล้วก็ดึก เด็กก็หลับ คนตั้งใจมาดูรอไม่ไหวก็กลับ ครูต้อยประยุกต์ใหม่ 2 ทุ่มครูต้อยรำทันที คนดูก็ลุกไม่ได้ ถ้าลุกก็ส่งชุดที่สองชุดที่สามชุดที่สี่ห้าหกขึ้นไป ไม่เว้นช่วงให้เลย อัดๆโชว์อย่างเดียว

“มีอยู่ครั้งไปเล่นสนุกมาก คนหน้าเวทีตะโกน หยุดก่อนได้ไหม จะไปห้องน้ำ”

ครูต้อยเคยไปแสดงที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลอง 6 ปทุมธานี มีนักศึกษาที่เรียนสื่อสารมวลชนมาสัมภาษณ์หลังเวที บอกว่าตั้งแต่มีการแสดงในมหาวิทยาลัย ไม่เคยเห็นว่าเวทีไหนแน่นเหมือนตอนดูโนรา

เวลาแสดงโชว์ภาคอื่น ครูต้อยรู้ว่าเขาอาจไม่เข้าใจ เพราะเราร้องภาษาใต้ เราแก้ด้วยการให้ลูกคู่รับเป็นภาษากลางแบบมีทองแดง หรือไม่ก็พูดแซวกันให้เป็นภาษากลาง

หรือใช้วิธีการไหว้ช้าๆ พูดช้าๆ แล้วให้ตัวตลกมายืนแปล ก็ฮาไปอีกแบบ

ครูต้อยอยากให้เด็กมีใจเป็นโนราจริงๆ ไม่ใช่มารำเพราะหวังเงิน มารำเพราะภูมิใจที่เป็นคนใต้ มีวิชาติดตัวได้ถ่ายทอดให้รุ่นน้อง

การแสดงโนราเป็นศิลปะพื้นบ้านของชาวใต้ คนใต้ต้องรักษา ต้องภูมิใจในภูมิปัญญาของตัวเอง ถ้าคนใต้รักโนรา คนที่ไหนก็รักโนรา ถ้าคนใต้ภูมิใจโนรา คนที่ไหนก็ภูมิใจในโนรา

ครูต้อยทิ้งท้ายให้คิด อยากให้ทุกคนรักโนราด้วยหัวใจ.