ตำรวจภาค 9 แถลงเครือข่ายค้ามนุษย์โรฮีนจา มอบตัวเพิ่มอีก 2 ราย ยอดยึดทรัพย์พุ่ง 85 ล้าน เร่งไล่ล่าผู้ต้องหาอีก 31 ราย “บิ๊กเอก” ถกรองอธิบดีอัยการหารือรวบรวมพยานหลักฐานหวังเอาผิดยกขบวนการ เมียนมาอ้าแขนช่วยผู้อพยพชาวเบงกาลีกลางทะเลอ่าวเบงกอลขึ้นฝั่งเป็นครั้งแรก 219 ราย เล็งส่งตัวผู้อพยพกลับ เตือนประชาคมโลกมนุษย์เรืออาจแอบอ้างเป็นชาวโรฮีนจา หวังขอรับความช่วยเหลือ สหรัฐฯจี้เมียนมาแก้ปัญหาละเมิดสิทธิชาวโรฮีนจาในประเทศ ชี้เข้าข่ายเลือก ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ต่างชาติยังคงจับตาการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ขณะที่รัฐบาลเมียนมาจัดประชุมระหว่างประเทศที่กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงเมียนมา เพื่อหารือแนวทางรับมือผู้อพยพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซียและมาเลเซีย เข้าร่วมประชุม รัฐบาลเมียนมาเสนอให้ยอมรับชาวโรฮีนจาเป็นชาวเบงกาลี อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้านบังกลาเทศ พร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพทั้งหมด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ไทยกำลังไล่ล่าเครือข่ายค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาอย่างต่อเนื่อง

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร ภาค 9 ส่วนหน้า พล.ต.ต.พุทธิชาติ เอกฉันท์ รอง ผบช.ภ.9 แถลงความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาทั้งใน จ.สงขลา สตูล และระนอง ว่า ล่าสุดมีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายศราวุธ พรหมกะหมัด และนายทนงศักดิ์ เหมมัน เครือข่ายค้ามนุษย์ใน จ.สงขลา รวมผู้ต้องหาทั้งที่มอบตัว จับกุม และอายัดตัวทั้งหมด 46 ราย จากที่ออกหมายจับไป 77 ราย อยู่ระหว่างการหลบหนี 31 ราย ส่วนการยึดทรัพย์เครือข่ายค้ามนุษย์ขณะนี้มียอดเพิ่มขึ้นกว่า 85 ล้านบาท สำหรับการสอบสวน นายโปเซี่ย อังโชติพันธุ์ หรือโกเซี่ย เครือญาติ นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง อดีตนายก อบจ.สตูล ตัวการสำคัญในคดี รวมถึงผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวก่อนหน้านี้ ยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและขอสู้คดีในชั้นศาล เจ้าหน้าที่ได้นำตัวบางส่วนไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนาทวี และมีบางส่วนยังถูกควบคุมตัวเพื่อสอบสวนที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร ภาค 9 ส่วนหน้า

...

วันเดียวกัน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.พร้อมด้วย ร.ท.สมนึก เสียงก้อง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ร่วมประชุมกับชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาเป็นครั้งแรก ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร ภาค 9 ส่วนหน้า เพื่อติดตามความคืบหน้าการสอบสวนและร่วมกันให้ขั้นตอนการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานรวดเร็วยิ่งขึ้น ก่อนที่จะส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจากพยานหลักฐานของคดีมีจำนวนมาก

ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.เอก เปิดเผยว่า รองอธิบดีอัยการได้ให้คำแนะนำแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานสอบสวนในการรวบรวมสำนวนคดี และแต่งตั้งอัยการประจำจังหวัดซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องทางคดี เข้ามาร่วมประชุมกับพนักงานสอบสวน โดยจะมีการประชุมร่วมกันทุกสัปดาห์ยืนยันว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นทันกรอบเวลาที่วางไว้ ส่วนกรณีที่ยังคงมีการออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการจะไม่กระทบต่อการสรุปสำนวนคดี เนื่องจากมีการแบ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน โดยทำควบคู่กันไปทั้งการสอบสวนและการขยายผล เพื่อให้สามารถเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ให้ได้ทั้งขบวนการ

สำหรับความเคลื่อนไหวในต่างประเทศ นายทิน หม่อง ฉ่วย เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงแห่งรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพี ว่า กองทัพเรือเมียนมาได้ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้อพยพและลูกเรือ 219 ราย พบบนเรือประมงกลางทะเลอ่าวเบงกอลให้มาขึ้นฝั่งที่เมืองหม่องดอว์ ทางตะวันตกของเมียนมา ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ถือเป็นการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้อพยพครั้งแรกของกองทัพเมียนมา หลังเรือประมง 2 ลำเคลื่อนเข้ามาในน่านน้ำทะเลเมียนมาตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. โดยเรือลำแรกเป็นเรือสัญชาติไทย บรรทุกผู้อพยพจนเต็มลำ ส่วนเรือลำที่ 2 เป็นเรือเปล่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลเมียนมานำตัวผู้อพยพที่พบทั้งหมดขึ้นฝั่งไปพำนักยังศูนย์พักพิงชั่วคราวเมืองหม่องดอว์ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และเสบียงอาหาร

ด้านนายเย ทุต โฆษกประจำรัฐบาลเมียนมา เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของตนเองว่าเรือบรรทุกผู้อพยพสองลำที่พบล่าสุดที่อ่าวเบงกอล เดินทางออกจากน่านน้ำทะเลใน จ.ระนอง ทางใต้ของไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ค. และผู้อพยพที่พบเป็นชาวเบงกาลีจากเมืองจิตตะกอง ทางเหนือของกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศ และรัฐบาลเมียนมาตั้งเป้าว่าจะส่งตัวผู้อพยพกลับแต่มิได้ระบุชัดเจนว่าจะส่งไปยังประเทศใด และสำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่ารัฐบาลเมียนมาไม่ยอมรับว่ากลุ่มชาติพันธุ์โรฮีนจาเป็นพลเมืองดั้งเดิมของเมียนมา ทั้งยังพยายามระบุว่าชาวโรฮีนจาเป็นชาวเบงกาลีจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านบังกลาเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐยะไข่ของเมียนมา

นอกจากนี้ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผบ.ทบ.แห่งเมียนมา ได้ออกแถลงการณ์เตือนประชาคมโลก ว่า ผู้อพยพที่ได้รับการช่วยเหลือขึ้นฝั่งที่ประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซียตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจแอบอ้างว่าเป็นชาวโรฮีนจาจากรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา เพื่อจะขอรับความช่วยเหลือจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในการอพยพไปตั้งรกรากในประเทศที่ 3 แต่ทางการเมียนมาขอยืนยันว่าผู้อพยพเหล่านั้น มาจากประเทศบังกลาเทศ

ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดินทางเข้าร่วมการประชุมแนวทางรับมือปัญหาขบวนเรือผู้อพยพซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเนปิดอว์ของเมียนมา เรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมามีความจริงจังในการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ ซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาการคุกคามและละเมิดสิทธิชาวมุสลิมโรฮีนจาในประเทศ รวมถึงต้องรับรองสิทธิของประชาชนในการนับถือศาสนา เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมาได้บังคับใช้กฎหมายกีดกันชาวพุทธในประเทศไม่ให้แต่งงานกับชาวมุสลิมโรฮีนจา และออกกฎหมายควบคุมจำนวนบุตรในครอบครัวชาวมุสลิมโรฮีนจาเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

...