เมียนมาจัดประชุมหาแนวร่วมผลักดันชาวโรฮีนจาให้ถือเป็นชาวเบงกาลีอพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้านบังกลาเทศ ด้านสหรัฐฯเร่งให้รัฐบาลเมียนมาแก้ไขปัญหาขัดแย้งรุนแรง ส่วนประธานาธิบดีแกมเบีย ทวีปแอฟริกา ประกาศอ้าแขนรับมนุษย์เรือ เข้าประเทศ ขณะที่ชุดสืบสวนออกหมายจับแก๊งค้ามนุษย์รวม 77 คน ด้าน ผบ.ทร.ยันทหารไม่ยิงเรือผู้อพยพพร้อมช่วยเหลือ
ปัญหาระหว่างประเทศการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจามีการประชุมฉุกเฉิน 3 ประเทศคือ อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย โดยทั้ง 2 ชาติมุสลิมออกมาแถลงการณ์ร่วมกันยอมรับชาวโรฮีนจากว่า 7,000 คน ที่ลอยเรืออยู่กลางทะเลเท่านั้นเข้ามาพักพิงได้ 1 ปี ขณะที่ชุดคลี่คลายคดีค้ามนุษย์ยังเดินหน้าจับกุมผู้ร่วมขบวนการแบบขุดรากถอนโคนอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 พ.ค. พล.ต.ต.พุทธิชาต เอกฉันท์ รอง ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.โชค ชัยชมภู ผบก.สส.ภ.9 ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาว่า เจ้าหน้าที่สามารถคุมตัวผู้ต้องหาเพิ่มอีก 10 คน แยกเป็นเข้ามอบตัว 5 คน ประกอบด้วย นายโปเซี่ย อังโชติพันธุ์ หรือโกเซี่ย เครือญาตินายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง นายสมพล อาดำ ส.จ.เขต ต.เกาะสาหร่าย อ.เมืองสตูล นายวุฒิ วุฒิประดิษฐ์ นายสมบูรณ์ สันโดและนายสมเกียรติ แก้วประดับ ส่วนผู้ต้องหาอีก5 คนตำรวจจับกุมประกอบด้วย นายอับดุลลาซีด มันตะสุม นายหมัดยุโส๊ป บิลเหล็ม นายเจ๊ะเต๊ะ ยะฝาด นายหมิด หมอชื่น และนายอูเซ็น ชาวบังกลาเทศ ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นเครือข่ายค้ามนุษย์ทั้งใน จ.สงขลา สตูลและระนอง โดยเจ้าหน้าที่คุมตัวไปสอบสวนขยายผลที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจ ภูธรภาค 9 ส่วนหน้า
พล.ต.ต.พุทธิชาตเปิดเผยว่า ในภาพรวมของคดีขณะนี้ออกหมายจับไปแล้ว 77 คน จับกุม 43 คน หลบหนี 34 ราย เจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าสอบสวนขยายผลต่อไป ส่วนจะมีตัวการใหญ่กว่าโกโต้งอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐานว่าจะสาวไปถึงใครบ้าง สำหรับเครือข่ายค้ามนุษย์ที่ออกหมายจับไปแล้ว แยกเป็นผู้ต้องหาจาก จ.สงขลา 39 คน จ.สตูล 19 คน จ.ระนอง 12 คน และชาวต่างชาติอีก 7 คน
...
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา 77 คนได้ตัวผู้ต้องหา 43 คน แยกเป็นจับกุม 23 คนมอบตัว 18 คน อายัดตัว 2 คน การตรวจสอบแหล่งพักพิง 7 แห่ง คนต่างด้าวถูกควบคุมตัวทั้งสิ้น 313 คน เป็นชาวโรฮีนจา บังกลาเทศและพม่าแยกเป็นเหยื่อ 64 คน ผู้ต้องหา 249 คน จำนวนศพที่พบรวม 36 ศพ การยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท สำหรับกรณีนางทัศนีย์ สุวรรณรัตน์ ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีค้ามนุษย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโกโต้งแต่อย่างใด
พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร.กล่าวถึงกรณีที่ชาวโรฮีนจาระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารไทยใช้ปืนไล่ยิงเพื่อผลักดันออกนอกประเทศว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีหรอกใครจะไปไล่ยิงเรืออาจเกิดความเข้าใจผิดมากกว่า เรือชาวโรฮีนจาที่เข้ามาในประเทศเพราะแบตเตอรี่หมด ทางทัพภาคเรือที่ 3 จึงเข้าไปช่วยเหลือจนสามารถเดินทางต่อไปได้ จากนั้นเรือลำดังกล่าวก็กลับเข้ามาใหม่ จากการตรวจสอบพบว่าน้ำทะเลเข้าไปในเครื่องยนต์จนเกิดปัญหา กองทัพเรือภาคที่ 3 ก็ซ่อมให้จนสามารถเดินทางต่อไปได้ ครั้งแรกที่เรือเข้ามาเรานำอาหารขนส่งทางเฮลิคอปเตอร์ ครั้งนี้เราได้ซ่อมแซมเครื่องยนต์แล้วยังให้อาหาร ยารักษาโรคด้วย และเราได้สอบถามเขาว่าจะเดินทางไปประเทศไหน เขาก็บอกว่าจะไปอินโดนีเซีย เป็นแบบนี้เราจะไปไล่ยิงเขาทำไม ไม่อยากให้ไปฟังเพราะไม่มีน้ำหนักอะไร พูดไปเรื่อย เราต้องเข้าใจและนึกภาพให้ออกว่าถ้ายิงชาวโรฮีนจาแล้วทำไมเราต้องช่วยเหลือทุกอย่าง
“กองทัพเรือไม่เคยผลักดัน พูดลักษณะนี้จะทำให้เกิดความเสียหายได้ ชาวโรฮีนจาเมื่ออยู่ในน่านน้ำอยากไปไหนก็ไป หากเดือดร้อนมาเราก็ช่วยเหลือแต่หากเข้ามาในประเทศไทยจะผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมือง เขาก็ไม่เข้ามาเพราะจุดมุ่งหมายต้องการไปอินโดนีเซีย กองทัพเรือพยายามทำอย่างละเอียดรอบคอบ” พล.ร.อ.ไกรสรกล่าว
พล.ร.ต.สมชาย ณ บางช้าง เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวว่า ข่าวที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง เรื่องนี้คิดว่าชาวโรฮีนจาเมื่อถึงประเทศที่ 3 แล้วจะพูดอะไรก็พูดได้ ที่ผ่านมากองทัพเรือภาคที่ 3 ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมปฏิบัติอย่างละมุนละม่อม ไม่มีการทำร้ายหรือข่มขู่อย่างที่เป็นข่าว ผู้บังคับบัญชาการทราบการปฏิบัติโดยตลอดเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง
ด้าน น.ต.วีระพงษ์ นาคประสิทธิ์ ผบ.หน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง 491 กล่าวยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ทางหน่วยเข้าไปช่วยเหลือและปฏิบัติด้วยความจริงใจด้านมนุษยธรรม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกล่าวหาของชาวโรฮีนจา ทั้งที่เราให้ความช่วยเหลืออย่างดี
“ผมยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่ทหารเรือทุกหน่วยและเรือทุกลำที่ปฏิบัติภารกิจ ไม่มีการละเมิดสิทธิและไม่แสดงกิริยา เราทำด้วยความสุภาพ ทั้งการซ่อมเครื่องยนต์ มอบอาหารและยารักษาโรค เขาอาจจำผิดเพราะระหว่างเดินทางอาจเจอทหารประเทศเพื่อนบ้านหรือกองกำลังประเทศอื่น จึงคิดว่าเป็นทหารไทยหรือพูดลอยๆกล่าวหา ทั้งที่เราช่วยเหลือทุกรูปแบบมันสวนทางกัน ที่สำคัญชาวโรฮีนจากลุ่มนี้ไม่ต้องการเดินทางมายังประเทศไทย เราเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น คงไม่จำเป็นต้องใช้กำลังอะไร” น.ต.วีระพงษ์กล่าว
ด้านนายประยูร รัตนเสนีย์ ผวจ.พังงา พร้อมด้วยนายอนันต์ ดนตรี เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พังงา เดินทางไปที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อตรวจดูความเป็นอยู่ของเด็กและสตรีชาวโรฮีนจาโดยมีนางดารารัตน์ สุเทศ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงานำเข้าเยี่ยมชม จากนั้นนายประยูรกล่าวว่า มีเด็กและสตรีชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศอาศัยอยู่ 78 คน สภาพความเป็นอยู่สะอาดเรียบร้อยมีการแบ่งหน้าที่ของแต่ละฝ่าย โดยเจ้าหน้าที่จัดหาวัตถุดิบ เช่น มันฝรั่ง ข้าวสาร ผัก และเครื่องปรุงต่างๆ ให้ชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศทำอาหารกินกันเอง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆเช่น มีการฝึกให้ทำของชำร่วยเพื่อพัฒนาฝีมืออีกด้วย
...
ขณะที่ น.ส.ทรงพร ลีลากิตติโชติ เจ้าหน้าที่องค์การช่วยเหลือเด็ก กล่าวว่า ทีมงานเดินทางเข้าสังเกตการณ์บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา 3 วัน พบว่าความเป็นอยู่ของผู้อพยพมีสภาพดีกว่าที่อื่นมากทั้งในเรื่องของที่พักอาศัย อาหาร กิจกรรมต่างๆ องค์การช่วยเหลือเด็กมาสอบถามปัญหามีเพียงเรื่องของการช่วยเหลือด้านวัตถุดิบ เช่นเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ผัก และผลไม้ โดยเฉพาะนมพบว่ามีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว
สำหรับความเคลื่อนไหวในต่างประเทศรัฐบาลเมียนมาจัดการประชุมระหว่างประเทศที่กรุงเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงเมียนมาเพื่อหารือแนวทางรับมือปัญหาผู้อพยพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีตัวแทนจากประเทศสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย และมาเลเซียเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย โดยนายซอว์ ทาย ผู้อำนวยการสำนักงานประธานาธิบดีแห่งเมียนมา เสนอเงื่อนไขให้ประเทศผู้เข้าร่วมการประชุมยอมรับว่าชาวโรฮีนจาไม่นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา แต่ถือเป็นชาวเบงกาลีอพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้านบังกลาเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเมียนมาอาจจะพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังจะส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุมที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในวันที่ 29 พ.ค.นี้ด้วย
ด้านนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงข่าวผ่านสื่อภายในประเทศว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาเร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ภาคตะวันตกของเมียนมา รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวโรฮีนจาให้มีทางเลือกในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ตระหนักว่าการล่องเรืออพยพไปยังประเทศอื่นไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาเพียงอย่างเดียวที่มี ขณะที่ น.ส.มารี ฮาร์ฟ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า สหรัฐฯ พร้อมรับผิดชอบปัญหาผู้อพยพมนุษย์เรือร่วมกับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจะพิจารณาให้ผู้อพยพลี้ภัยเข้ามาตั้งรกรากใหม่ในสหรัฐฯได้
...
ขณะเดียวกันนายยะห์ยา จัมเมห์ ประธานาธิบดีแกมเบียในทวีปแอฟริกา เป็นประเทศที่ 3 นอกเหนือจากฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ ที่ประกาศพร้อมให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพมนุษย์เรือทั้งหมดที่พบในน่านน้ำทะเลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระบุว่าการช่วยเหลือผู้อพยพเป็นการแสดงออกซึ่งมนุษยธรรมและเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมเช่นเดียวกัน แต่สื่อต่างประเทศรายงานเพิ่มเติมว่าแกมเบียเป็นหนึ่งในประเทศแถบแอฟริกาที่ประชาชนจำนวนมากอพยพลี้ภัยข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปขึ้นฝั่งที่ประเทศแถบยุโรป โดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยว่า สถิติผู้ลี้ภัยชาวแกมเบียที่ไปขึ้นฝั่งในยุโรปช่วง 18 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนกว่า 5,000 คน
นอกจากนี้ นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ออกคำสั่งให้กองทัพเรือและหน่วยลาดตระเวนชายฝั่งของมาเลเซีย ปฏิบัติการค้นหาและช่วยชีวิตผู้อพยพชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศที่ยังตกค้างบนเรือลอยอยู่ในทะเลนานหลายสัปดาห์ เพราะเกรงผู้อพยพบนเรือจะอ่อนแอและล้มป่วยจนเป็นอันตรายถึงชีวิต ขณะที่นายโทนี แอบบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงยืนยันว่ารัฐบาลออสเตรเลียจะไม่อนุมัติให้ผู้อพยพชาวโรฮีนจาและชาวบังกลาเทศเข้ามาตั้งรกรากในออสเตรเลียเป็นอันขาด เพราะเกรงจะเป็นการให้ความหวังผิดๆซึ่งกระตุ้นให้ผู้อพยพล่องเรือข้ามทะเลมากันเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียแย้งว่าออสเตรเลียควรร่วมรับผิดชอบปัญหาผู้อพยพด้วยในฐานะที่เป็นประเทศภาคีซึ่งลงนามรับรองอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยผู้ลี้ภัยเมื่อปี ค.ศ.1951
ด้านนายเอลฮัดจ์ อัด ไซ ประธานสมาพันธ์กาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดง องค์กรระหว่างประเทศด้านการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แถลงสนับสนุนการปรับเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลอินโดนีเซียและรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจยุติมาตรการผลักดันผู้อพยพออกจากน่านน้ำ และประกาศว่าจะให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพเป็นเวลา 1 ปี โดยนายไซระบุว่า วิกฤติผู้อพยพที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออก–เฉียงใต้และยุโรป เปรียบได้กับบททดสอบด้านมนุษยธรรมของคนทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอดทน ความเมตตากรุณา การเปิดใจและความมีน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกในวิกฤตการณ์เช่นนี้คือการช่วยเหลือชีวิตผู้ที่ประสบความทุกข์ยาก โดยเฉพาะผู้อพยพที่ต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายบนเรือ
...
เย็นวันเดียวกัน ที่ประชุมสมาชิกสภายุโรปซึ่งจัดขึ้นที่เมืองสทราซบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ลงมติรับรองแนวทางการแก้ปัญหาผู้อพยพชาวโรฮีนจา และ ชาวบังกลาเทศเพื่อเสนอต่อรัฐบาลไทย และเมียนมา โดยระบุว่ารัฐบาลไทยต้องปราบปรามกลุ่มก่ออาชญากรรมและขบวนการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการกักขังหน่วงเหนี่ยวและลำเลียงกลุ่มผู้อพยพชาวโรฮีนจาและผู้อพยพจากประเทศอื่นๆ ไปยังประเทศปลายทาง การค้ามนุษย์มีเบาะแสบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยเป็นผู้มีส่วนร่วมในขบวนการดังกล่าวด้วย รัฐบาลไทยจึงต้องแสดงความจริงจังในการจับกุมและกวาดล้างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเร่งด่วน ส่วนรัฐบาลเมียนมาจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายระดับประเทศ เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติและกีดกันกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยต่างๆ และต้องพิจารณารับรองสิทธิพลเมืองแก่ชาวโรฮีนจาด้วย