เที่ยงวันเสาร์แรก เดือนพฤษภาคม มุมหนึ่งในตลาดนัดสวนจตุจักร แดดกำลังร้อน แต่เสียงกีตาร์และเปียโนบรรเลงเพลงฮิตติดชาร์ต เพลงละคร กระทั่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องฟาสต์ 7 ที่กำลังดัง ฟังเพราะจับใจ ทำให้คลายความร้อน

คนฟังจะสักกี่คน ที่จะรู้ว่าเสียงเพลงเหล่านี้ เป็นฝีมือณัฐนนท์ สินวัฒนาวุฒิ น้องแชมป์ วัย 15 ปี และณัฐนันท์ สินวัฒนาวุฒิ น้องฟร้องซ์ วัย 13 ปี

นี่คือ...นักดนตรีมีดีกรี น้องแชมป์ เป็นแชมป์กีตาร์คลาสสิกเยาวชนประเทศไทยปี 2011 ส่วนน้องฟร้องซ์ เป็นแชมป์เปียโนคลาสสิกกรุงเทพ

ราเมศ สินวัฒนาวุฒิ อายุ 45 ปี ผู้เป็นพ่อ ยืนให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆ

พี่เมศเล่าว่า ลูกชายทั้งสองเรียนอยู่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน เกรด 10 และเกรด 8

วันว่างจากการเรียน แชมป์กับฟร้องซ์เล่นเปิดหมวกนำรายได้ให้ศิริราชมูลนิธิ แต่วันนี้พิเศษกว่า เพราะรายได้จะนำไปช่วยเนปาล บนกล่องกีตาร์เขียนคำว่า “PRAY FOR NEPAL”

แชมป์ ปกติเป็นคนชอบทำบุญ บอกพ่อ เห็นคลิปที่แชร์เรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาล คลิปหนึ่งขุดเจอเด็ก แล้วก็คิดน่าจะต้องช่วยแล้ว

เสาร์เล่นวันแรก เริ่มเล่นตั้งแต่เที่ยงอากาศร้อน มีคนบริจาคมาก พรุ่งนี้วันอาทิตย์ จะเล่นอีกวัน

“เมื่อคืนเราคุยกันว่าเราต้องช่วย” พี่เมศว่า “แล้วก็ช่วยกันหาเพลงใหม่ๆ นั่งแกะโน้ต วางแผน เพลงพวกนี้น้องฟร้องซ์เล่น ส่วนแชมป์ก็เล่นเพลงพระราชนิพนธ์”

ตั้งใจ เงินที่ได้ทั้งหมดจะนำไปบริจาคที่สภากาชาดไทย

พี่เมศเล่าว่า การเล่นดนตรีของลูกทั้งสอง พี่เมศเป็นคนจัดให้ เด็ก 4 ขวบไม่สามารถเลือกได้ว่าต้องการอะไร น้องแชมป์จัดให้เล่นกีตาร์ น้องฟร้องซ์ก็เปียโน

“ผมเห็นว่าการเล่นดนตรีเป็นทักษะวิชาชีพ”

...

ระดับฝีมือวันนี้ ทั้งพี่และน้องอยู่ในสายประกวดการแข่งขันระดับประเทศถึงระดับเอเชีย

ในประเทศ น้องสองคนไล่ประกวดได้จนเกือบหมด พี่เมศมองว่า ยังอยู่ในช่วงสะสมประสบการณ์ เราไม่ได้ปลูกฝังว่าถ้าประกวดไม่ชนะฉันยอมไม่ได้ ชนะก็ดี ไม่ชนะไม่เป็นไร ชนะใจตัวเองได้ เราโอเค

พ่อเล่าแล้ว คราวนี้ถึงคิวน้องแชมป์เล่า

เริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ พ่อเลือกให้ แต่ใจแชมป์อยากตีกลอง ด้วยความคิดเด็กอยากเล่นอะไรที่มันส์ๆ ครั้งแรกเล่นกีตาร์ตัวใหญ่จับไม่ถนัด ตอนนั้นเลยคิดว่าไม่ใช่ แต่ก็ปรับตัวโดยใช้กีตาร์ตัวเล็ก

พอโตขึ้นมา พ่อซื้อกีตาร์ตัวใหญ่ให้ เราก็โตขึ้นด้วย ก็ปรับตัวเข้ากับกีตาร์ได้

ปีแรกประกวดยามาฮ่าไทยแลนด์มิวสิคเฟสติวัลปี 2010 ตอนนั้นอายุ 9 ขวบเป็นเด็กใหม่ แข่งกับรุ่น 13 ปี ปีนั้นได้เข้ารอบชิง ที่ไม่ได้แชมป์คิดว่าอาจเป็นเพราะไม่มีเล็บ

“แชมป์ชอบกัดเล็บ” แชมป์ว่า “คิดว่าถ้ากัดไปเรื่อยๆ อาจเล่นกีตาร์ไม่ได้แน่ แล้วคงทำฝันที่จะชนะไม่ได้ เลยเลิกกัด พ่อก็ช่วย เอายาหม่องมาทาที่นิ้ว ทำให้เลิกกัดไปเลย”

ปี 2011 กลับไปประกวดยามาฮ่าไทยแลนด์มิวสิคเฟสติวัลอีกรอบ คราวนี้ได้แชมป์

แชมป์บอกว่า ชัยชนะเกิดจากการที่ขยันฝึกมากกว่าโชคช่วย

ยกระดับไปแข่งกลุ่มประเทศอาเซียน กระทรวงศึกษาธิการจัดที่จังหวัดอุดรธานี ตอนนั้นเปิดรุ่น 18 ปีและรุ่นทั่วไป แชมป์คุยว่า อายุ 10 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่คึก เพิ่งได้รางวัลมา ช่วงนั้นอากาศร้อนมาก แต่ยอมไปแข่ง เพราะอยากไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง

แชมป์ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ในรุ่น 18 ปี

อายุ 12 ปี ไปเล่นเปิดหมวกที่ซิเคด้า หัวหิน เก็บประสบการณ์อยู่ 1 ปี แล้วไปแข่งที่มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี แชมป์หายจากการแข่งขันไป 3 ปี ไม่มีคนรู้จัก พอแชมป์ชนะ ทั้งพ่อและแชมป์ถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลเลย

อีกปีไปแข่ง เล่นได้ครึ่งเพลง ก็โดนแกล้งปิดม่านใส่ รู้สึกแย่ไม่อยากแข่ง

“แค่วงการเล็กๆยังโดนโกง” แชมป์ว่า “ผมหยุดการแข่งขันมาเปิดหมวกเล่นดนตรีช่วยสังคมสบายใจกว่า”

ปกติเสาร์อาทิตย์แชมป์ช่วยงานแม่ที่ร้านกาแฟ แถวพระราม 2 แต่วันนี้ทิ้งงานของแม่ มาช่วยน้องฟร้องซ์หารายได้เพื่อคนเนปาล

ถึงคิวน้องฟร้องซ์คุยบ้าง เล่นดนตรีตอนอายุ 4 ขวบเหมือนพี่ ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆก็ชอบ ช่วงแข่งขันไม่ได้พัก ซ้อมทั้งวัน 6-8 ชั่วโมง ถ้าไม่ได้แข่งซ้อม 1-2 ชั่วโมง เวลาที่เหลือก็พักผ่อน เล่นเกม

ฐานะของฟร้องซ์ วันนี้...มือเปียโนที่อายุน้อยที่สุด ที่สอบได้สถาบันทรินิตี้ คอลเลจ ลอนดอน เกรด 5 เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สาขาเปียโน

วันที่ไม่มีการแข่งขัน ฟร้องซ์เล่นดนตรีที่ซิเคด้าหัวหิน เล่นประจำศุกร์ถึงอาทิตย์

“เขาให้เราไปเล่นเพื่อเพิ่มสีสันให้กับสถานที่ หลังจากนั้นก็มีคนชักชวนไปเล่นตามงานต่างจังหวัด ตามงานอีเวนต์” เรื่องที่ฟร้องซ์เล่า ยืนยันว่านักดนตรีน้อยๆคนนี้ เป็นมืออาชีพ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

“เขาจ้างเราไปเล่นก็มีคนเอาเงินมาให้ พอเยอะก็กองอยู่บนเปียโนหรือหนีบไว้ที่หัวกีตาร์ เราคิดว่าไม่ใช่เรื่องเล่นแล้ว” เรื่องนี้ พี่เมศเล่าเอง “เพราะได้เกินกว่าที่เขาว่าจ้าง เราจะทำยังไง ก็คิดว่าไปบริจาคกันไหม นั่นคือเริ่มต้น”

ครอบครัวนี้มีฐานะดี พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจเหล็ก เทรดดิ้ง ขายส่งกระป๋องอาหารให้กับโรงงานอุตสาหกรรม แม่เปิดร้านกาแฟ เลี้ยงดูลูกสองคนได้สบาย

พี่เมศเล่าต่อว่า ไปบริจาคโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี ช่อง 3 เรื่องเล่าเช้านี้ บริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์ ตอนน้ำท่วมภาคใต้ ก็ซื้อของแพ็กใส่ถุงเอาไปให้ตามมูลนิธิต่างๆ

...

เหตุที่เลือกศิริราชมูลนิธิ เป็นมูลนิธิที่คนไข้มากมายไปรักษา และในหลวงท่านอยู่

ก่อนหน้านี้ พี่เมศเคยพาลูกๆ ไปดูคนป่วยที่ศิริราช ดูว่าเขาลำบากกว่าเรามาก ถ้าเราช่วยเขาได้ก็ควรช่วย ได้โอกาสมาเล่นที่สวนจตุจักร เมื่อปลายเดือนมกราคม เดือนหนึ่งได้เล่น 2 ครั้ง อาทิตย์เว้นอาทิตย์

“ผมแสดงความบริสุทธิ์ใจ เปิดบัญชีชื่อของน้องทั้งคู่” พี่เมศว่า “แล้วรวบรวมเงินบริจาคทุกหนึ่งเดือน อย่างล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ได้เจ็ดพันบาทมีเศษๆ ก็ควักเงินตัวเองโปะให้ตัวเลขกลมๆ เราไปบริจาค แล้วก็เอาใบเสร็จมาแปะให้ดู เผื่อใครสงสัย”

ยอดบริจาคทั้งสองวัน วันเสาร์วันอาทิตย์ ได้เงิน 7,000 บาท ทั้งพี่เมศ แชมป์และฟร้องซ์ นำไปมอบให้สภากาชาดไทย

“วันนี้ผมภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเนปาล” ฟร้องซ์ว่า “อาทิตย์ต่อไปก็ให้ศิริราชเหมือนเดิม”

“เหนื่อยไหม” ฟร้องซ์บอกว่า ก็เหนื่อย แต่กลับบ้านไปนอนพักก็หายแล้ว

เสาร์อาทิตย์นั้น อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่สามพ่อลูกไม่มีวี่แววเหนื่อยล้า รอรับน้ำใจจากผู้คนภายในสวนจตุจักร บางคนเดินมาหย่อน เหรียญสิบ แบงก์ยี่สิบ แบงก์ห้าสิบ และหลายคนก็แบงก์ร้อยลงในกล่องกีตาร์

ภาพของผู้รับ ผู้ให้ ทำให้คนมองคิดว่าน้ำใจของผู้คนในสังคมไทย ยังมีเหลือเฟือ

ติดตามผลงานของแชมป์และฟร้องซ์ ได้ที่เฟซบุ๊ก Champ_ France FC.