ตำรวจบางปะกง ร่วมกับทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เข้าจับกุมพระกัมพูชาจำนวน 11 รูปที่หลบหนีเข้ามาโดยผิดกฎหมายภายในป่าละเมาะริมถนนบางนา-ตราด กม.36-35 ขาเข้า กทม. หลังมีชาวบ้านร้องเรียนไป สุดท้ายถูกคุมตัวส่งกลับประเทศ ...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 พ.ค. 58 พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ผกก.สภ.บางปะกง ได้มอบหมายให้ ร.ต.ท.จุมพล แก่นจันทร์ รอง สวป.สภ.บางปะกง พร้อมกำลัง ไปพร้อมกับ นายชูศักดิ์ นันทิธัญญธาดา ปลัดอำเภอบางปะกง ร.ต.วัชพงษ์ นามโส หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็ว ประสานงานในพื้นที่อำเภอบางปะกง ป.พัน2.รอ. นำกำลังทหาร ร.ต.อ.ปัฐน์ แสนอินอำนาจ รอง สว.ตม.จว.ฉะเชิงเทรา และ น.ส.ศศิภัสสร์ จุฑาวงศ์ เจ้าหน้าที่สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมกันนำกำลังกว่า 20 นาย เข้าพื้นที่บริเวณป่าละเมาะริมถนนบางนา-ตราด กม.36-35 ขาเข้า กทม. ม.1 ต.หอมศีล อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา หลังมีชาวบ้านร้องเรียนไปทางอำเภอบางปะกง ว่ามีพระเข้ามาพักอาศัยอยู่ในป่าละเมาะ จำนวนหลายองค์ และมีพฤติกรรมไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่วไป จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ

...

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าพระบางรูปถึงกับวิ่งหนีไปยังป่าละเมาะข้างเคียง เบื้องต้นได้ควบคุมตัวไว้ได้จำนวน 5 รูป ตรวจสอบพบว่าในสุทธิเป็นพระจากประเทศกัมพูชา แต่ไม่มีพาสปอร์ตแสดงหลักฐาน จากนั้นทางทหารได้ไปพบพระอีก 1 รูป บริเวณข้างเคียงหลังหลบซุ่มอยู่ในป่า และนำมานั่งรวมกัน รวมเป็น 6 รูป ซึ่งทางทหารได้กระจายกำลังออกตรวจสอบไปอีกประมาณ 200 เมตร ภายในป่าละเมาะกลับพบว่ามีเต็นท์ และจีวรตากอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเดินเข้าไปในป่า พบพระสงฆ์อีก 3 รูป และห่างไปอีก 50 เมตร ก็พบว่าพระที่วิ่งหนีจากจุดแรกอีก 2 รูป หลบซ่อนอยู่ จึงนำตัวพระทั้งหมด จำนวน 11 รูป มารวม ณ ที่จุดแรก

จากการตรวจสอบพบว่ามีเพียงองค์เดียวที่มีพาสปอร์ตที่ถูกต้องแต่หมดอายุไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็มีเพียงใบสุทธิเท่านั้น ทั้งนี้ พระที่มีพาสปอร์ต อ้างว่า ตนได้เดินทางมาจาก จ.สระแก้ว โดยนั่งรถโดยสารแล้วมาลงที่จุดดังกล่าว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งที่มาอยู่ก็เพราะมาเที่ยวหาพระที่อยู่ในป่าละเมาะ แล้วจะนั่งรถต่อไปที่สำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี ถนนพุทธมณฑลสาย 3 ซอย 22 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เพื่อไปจำวัดที่นั่น

นายชูศักดิ์ เปิดเผยว่า ได้มีชาวบ้านแจ้งมาว่ามีพระสงฆ์มาอยู่ภายในป่าละเมาะเป็นจำนวนมาก โดยไม่รู้ว่าเป็นพระจริงหรือพระปลอม โดยที่ทุกเช้าพระทั้งหมดจะโบกรถแท็กซี่ ไปรับบิณฑบาต ที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และยังมีพื้นที่ข้างเคียงอีก โดยจะกลับมาในช่วง 9 โมงถึง 9 โมงครึ่ง โดยจะนั่งรถแท็กซี่กลับมาลงที่เดินก่อนจะหายเข้าไปในป่าละเมาะ

ด้าน น.ส.ศศิภัสสร์ กล่าวว่า หากพระดังกล่าวเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะทำการสึกได้เนื่องจาก ไม่ได้ทำผิดวินัยสงฆ์ เพียงแต่ไม่ยอมอยู่จำวัดให้เป็นหลักแหล่ง และมีเพียงใบสุทธิของพระที่ออกโดยประเทศกัมพูชา จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นพระจริงหรือพระปลอม จึงต้องส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองส่งกลับประเทศต่อไป

ขณะที่ ร.ต.อ.ปัฐน์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่าพระที่เดินทางเข้ามานั้นไม่มีเอกสารพาสปอร์ตแสดง และมีเพียงรูปเดียวที่มีพาสปอร์ต แต่ก็หมดอายุนานแล้ว จึงถือวาพระกัมพูชาทั้งหมดนั้นลักลอบเดินทางเข้ามาโดยผิดกฎหมาย จึงต้องนำตัวที่ลงบันทึกประจำวันที่สภ.บางปะกง และจะนำตัวไปที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.ฉะเชิงเทราเพื่อส่งกลับประเทศ

อย่างไรก็ตาม พระกัมพูชาในตอนนี้ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพื่อมาหากิน โดยจะไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระจากประเทศไทยหรือกัมพูชา หรือจะเป็นพระจริงหรือพระปลอม เพียงแต่อาศัยว่าหากนุ่งห่มจีวรเป็นพระ ก็จะมีคนทำบุญ ซึ่งจะไม่มีที่พักเป็นหลักเป็นแหล่ง ชาวบ้านเองก็จะทำบุญทุกวันหากมีพระมาบิณฑบาต โดยจะเดินมาดักรอที่หน้าบ้าน หรือหน้าร้านค้าเพื่อให้คนใส่บาตร และจะกระจายไปตามแหล่งชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อหาทำเลในการบิณฑบาต.