นัดอีก22มิ.ย.กำชับ11จำเลยทุกคนไปศาลจัดทนายครบ
ศาลเลื่อนสอบปากคำคดีลักเงินของ สจล. หลังจำเลยทั้งหมดแจ้ง ต่อศาลขอแต่งตั้งทนายเองก่อน จน ศาลต้องเลื่อนนัดออกไปอีกครั้ง 22 มิ.ย. พร้อมกำชับให้จำเลยทุกคนมาศาล และแต่งตั้งทนายให้ครบ ด้านทนายสงกานต์ยืนยันถวิลไม่ใช่ “บอส” เตรียมแฉข้อมูลกับทางดีเอสไอ ว่า “บอส” เป็นใคร แล้วขอให้รับเป็นคดีพิเศษต่อไป
ศาลนัดสอบคดี สจล.นัดแรก แต่จำเลยทั้งหมดไม่พร้อมขอแต่งตั้งทนายความเองก่อน จนศาลต้องเลื่อนสอบคำให้การไปอีกครั้ง เปิดเผยขึ้นที่ห้องพิจารณา 301 ศาลจังหวัดมีนบุรี เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 23 มี.ค. ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 11 (มีนบุรี) เป็นโจทก์ ฟ้องนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี อดีตผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 26 ปี น.ส. จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ อายุ 27 ปี นางสมบัติ โสประดิษฐ์ อายุ 44 ปี นางระดม มัทธุจัด อายุ 55 ปี นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 32 ปี นายภาดา บัวขาว อายุ 28 ปี นายถวิล พึ่งมา อายุ 61 ปี อดีตอธิการบดี สจล. นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อายุ 51 ปี อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล. และนายศรุต ราชบุรี อายุ 54 ปี เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์ ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือผู้อื่นโดยทุจริต เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันฟอกเงิน สนับสนุนพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต สนับสนุนพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ
...
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.55 น.ส.อำพรทำบันทึกถึงนายสมศักดิ์ คูหาสวรรค์เวช ผู้ช่วยอธิการบดี ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดี (ในขณะนั้น) ขอถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา สจล. 4 บัญชี เป็นเงิน 510,000,000 บาท ของ สจล. เพื่อนำไปฝากเข้าบัญชีประเภทฝากประจำ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ มีนายทรงกลด เป็นผู้จัดการในขณะนั้น อ้างว่าจะได้ผลประโยชน์สูงกว่าเดิม อธิการบดีขณะนั้นได้ลงนามอนุมัติ ต่อมาวันที่ 26 มิ.ย.55 น.ส.อำพรนำเงินดังกล่าวไปฝากเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ โดยให้ น.ส.อำพร จำเลยที่ 2 นายถวิล จำเลยที่ 9 และนายสรรพสิทธิ์ จำเลยที่ 10 เป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน ต่อมาระหว่างวันที่ 19 ก.ค.55-12 พ.ย.55 น.ส.อำพร จำเลยที่ 2 และนายถวิล จำเลยที่ 9 ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ มีจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3-8 และจำเลยที่ 10-11 ให้ความช่วยเหลือ น.ส.อำพร จำเลยที่ 2 นายถวิล จำเลยที่ 9 ลักทรัพย์เอาเงินของ สจล.ไปหลายครั้งขณะเงินอยู่ในความครอบครองของธนาคารไทยพาณิชย์ โดยนายถวิล จำเลยที่ 9 รู้เห็นและยินยอมให้นายสรรพสิทธิ์ จำเลยที่ 10 ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเงินได้ร่วมกับ น.ส.อำพร จำเลยที่ 2 ถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ไป นอกจากนี้จำเลยทั้งหมดกับพวกที่หลบหนียังร่วมกันฟอกเงินด้วยการนำเงิน 303,860,643.96 บาท ของ สจล. โอนกลับเข้าบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา สจล. เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน เพื่อไม่ต้องให้รับโทษหรือรับโทษน้อยลง
เมื่อถึงเวลานัดเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลยที่ 1-8 มาจากเรือนจำพิเศษมีนบุรี ส่วนนายถวิลจำเลยที่ 9 นายสรรพสิทธิ์จำเลยที่ 10 และนายศรุตจำเลยที่ 11 ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ ท่ามกลางญาติของจำเลยเข้าร่วมฟังการพิจารณาแน่นห้อง ต่างโผเข้ากอดจำเลยที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำด้วยความเป็นห่วง
จากนั้นศาลสอบถามจำเลยทั้ง 11 คน ปรากฏว่าไม่มีจำเลยคนใดต้องการทนายความของศาล ขอแต่งตั้งทนายความเอง แต่จำเลยบางคนยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความ ศาลจึงเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน และนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานอีกครั้ง ในวันที่ 22 มิ.ย. เวลา 09.00 น. พร้อมกำชับให้จำเลยทุกคนเดินทางมาศาล และแต่งตั้งทนายความให้เรียบร้อย
ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความของนายถวิลกล่าวว่า เตรียมพยานฝ่ายจำเลยขึ้นเบิกความต่อศาล 7 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ของ สจล. เพื่อยืนยันว่านายถวิลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ นอกจากนี้ เตรียมยื่นฟ้องนายทรงกลด ศรีประสงค์ ในคดีนี้ต่อศาลอาญา ในข้อหาแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้รับโทษทางอาญา เมื่อนายทรงกลดให้การปรักปรำนายถวิลในชั้นสอบสวน โดยทีมทนายความจะเข้าพบ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและการทำธุรกรรมต่างๆ รวมทั้งจะเดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ข้อมูลว่า “บอส” คือใคร และยืนยันว่านายถวิลไม่ใช่ “บอส” ตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมขอให้ดีเอสไอพิจารณารับคดีเป็นคดีพิเศษ