ได้ข้อสรุปออกมาเสียที กรณีอดีต"พระเกษม"จอมอื้อฉาวแห่งที่พักสงฆ์สามแยก หลังจากคณะสงฆ์ประชุมได้ข้อสรุปว่า"ปาราชิก"จากการเสพเมถุนกับลูกศิษย์ชาย เตรียมประกาศไปถึงอุปัชฌาย์ทั่วราชอาณาจักร ห้ามบวชให้อีก...
เมื่อวันที่ 19 ม.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีอดีตพระเกษม อาจิณณสีโล แห่งที่พักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ที่ยอมรับว่าเสพเมถุนกับลูกศิษย์ผู้ชาย แต่ทำไปโดยไม่รู้ตัว เบลอ ต่อมาจนนำไปสู่การตัดสินใจสละผ้าเหลืองเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันที่ 18 ม.ค.เปลี่ยนมานุ่งห่มขาว แต่ยังพำนักอยู่ที่เดิม ทั้งยังบอกว่าอาจจะกลับมาบวชอีก เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ปาราชิกนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ม.ค. นายธัญเทพ หมื่นยุทธ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนา จ.เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่าคณะสงฆ์ได้ประชุมและลงมติเกี่ยวกับการเสพเมถุนของนายเกษม ดวงแพงมาก อดีตพระเกษม อาจิณณสีโล แห่งสำนักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ แล้ว
ทั้งนี้ คณะสงฆ์เตรียมออกประกาศไปยังวัดทั่วประเทศได้รับทราบว่า อดีตพระเกษมได้ต้องปาราชิกไปแล้ว ห้ามมิให้พระสงฆ์รูปใดเป็นอุปัชฌาย์ทำการบวชให้กับนายเกษม ดวงแพงมาก อีกต่อไป และหากพระสงฆ์รูปใดฝ่าฝืนทำการบวชให้นายเกษมอีก จะถือว่าเป็นความผิดไปด้วย
ดังนั้น จึงฝากพระทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุตได้ทราบถึงความผิดอันร้ายแรงของนายเกษมด้วย พร้อมฝากถึงคณะกรรมการผู้มีหน้าที่ออกกฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาให้ช่วยเร่งรัดในการผลักดันออกกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีเอาผิดกับพระสงฆ์ที่ทำผิดต้องปาราชิก ได้มีผลบังคับใช้เป็นรูปธรรมชัดเจน เพราะจะเป็นเครื่องมือในการช่วยกำกับดูแลผู้ที่กระทำผิดต่อพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ทั่วประเทศ
ส่วนการแต่งตั้งผู้ดูแลสำนักสงฆ์แทนนายเกษมนั้น ล่าสุด เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ได้มอบหมายให้เจ้าคณะอำเภอเป็นผู้รับไปดำเนินการสรรหาแต่งตั้งพระสงฆ์ไปดูแล หากพระสงฆ์ที่อยู่ในสำนักสงฆ์เดิม มีความประสงค์มารับหน้าที่นี้ก็จะแต่งตั้งเป็นผู้ดูแล แต่ถ้าหากไม่ประสงค์จะรับหน้าที่นี้ ก็จะแต่งตั้งพระสงฆ์จากที่อื่นเข้าไปรับหน้าที่แทน
...
"สำนักงานพุทธศาสนา จ.เพชรบูรณ์ จะต้องเข้าไปดูแลสำนักสงฆ์ โดยนิมนต์เจ้าคณะจังหวัดธรรมยุตเป็นผู้นำไปเป็นหมู่คณะ ประกอบด้วยคณะสงฆ์จังหวัด สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่อำเภอน้ำหนาว กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและศรัทธาญาติโยมต่างๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการเข้าไปดูแลบริหารจัดการสำนักสงฆ์ดังกล่าว เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง และเป็นที่พึงพอใจของพุทธศาสนิกชน และฝากถึงพุทธศาสนิกชนว่าอย่าไปยึดติดกับตัวบุคคล ให้ยึดตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะถ้าไปยึดติดกับตัวบุคคลแล้วก็จะมีสภาพแบบนี้ ท่านทำผิดท่านทำถูกอย่างไรก็แล้วแต่ ควรจะต้องยึดถือและศรัทธาเรื่องหลักธรรมคำสอนจะดีที่สุด" นายธัญเทพ กล่าว
ด้านนายศิวนาถ แสนแก้ว อายุ 43 ปี ลูกศิษย์ผู้ดูแลใกล้ชิดอดีตพระเกษม กล่าวว่า คณะกรรมการวัดและพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดได้ลงความเห็นว่า จะแต่งตั้งครูบาชาติขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ดูแลสำนักสงฆ์สามแยกแทนอดีตพระเกษม และนายเกษม ดวงแพงมากหรืออดีตพระเกษมนั้นได้อาศัยอยู่ในกุฏิเดิมในฐานะที่ปรึกษาและเป็นครูบาอาจารย์ที่คอยให้ความรู้แก่ผู้มาปฏิบัติธรรม โดยคณะกรรมการวัดได้จัดให้มีโยมอุปัฏฐาก คอยดูแลสุขภาพของอดีตพระเกษมที่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว ส่วนทรัพย์สินของอดีตพระเกษมหรือนายเกษมคงไม่มี เพราะเมื่อครั้งยังดำรงเพศบรรพชิตอยู่นั้นท่านไม่เคยจับต้องเงินบริจาค นอกจากนี้เมื่อเป็นฆราวาสแล้วก็คงต้องไปทำบัตรประชาชน โดยใช้บ้านเลขที่ของตาฤาษีที่เป็นมัคนายกวัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตพระเกษม อาจิณณสีโล ผู้นี้ได้ตกเป็นข่าวขึ้นหน้า1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ หลังทำป้ายข้อความเข้าข่ายดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุ ใช้มือตบพระพักตร์องค์พระพุทธชินราชจำลอง และใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธรูป จนเป็นข่าวครึกโครมเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทาง ผอ.สำนักพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ได้มีการเอาผิด ดำเนินคดีกับพระเกษมในข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุ โดยต้องสู้กันถึงสามศาล
เริ่มจากศาลชั้นต้นที่ยกฟ้อง ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์กระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษากลับแก้ไขเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา206 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
จำเลยยื่นฎีกา ต่อมาผู้พิพากษาศาลจังหวัดหล่มสัก ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2557 ว่า จำเลยมีความมุ่งมั่นศึกษาในพระธรรมวินัยในพุทธศาสนาจึงพิพากษาให้ไม่ลงโทษจำคุกและรอลงอาญาจำเลย และให้ลงโทษปรับกระทงละ 2,000 บาท จำนวนสองกระทงรวม 4,000บาท ลดให้กึ่งหนึ่งเหลือ 2,000 บาททำให้พระเกษมรอดพ้นจากการถูกลงโทษและไม่ต้องถูกจับสึกจากความเป็นพระ
ทั้งนี้ เรื่องทำท่าจะยุติด้วยดี และส่งผลให้พระเกษมยังคงสามารถครองผ้าเหลืองในฐานะพระสงฆ์ต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ต่อมาเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 16 ม.ค.58 อดีตพระเกษม ได้ถูกคณะลูกศิษย์ไต่สวนกรณีเสพเมถุนกับลูกศิษย์ชายที่คอยดูแลใกล้ชิดแบบรักร่วมเพศ กระทั่งอดีตพระเกษมให้การยอมรับสารภาพ จนเป็นประเด็นร้อนสู่สังคมชาวพุทธอีกครั้ง จนเมื่อคืนวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา คณะลูกศิษย์ได้รวมตัวกันเข้าพบอดีตพระเกษมเพื่อถกปมร้อนนานกว่า 4 ชั่วโมง และให้อดีตพระเกษมเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง จนนำไปสู่การตัดสินใจสละผ้าเหลืองของอดีตพระเกษมในเวลา 01.00 น. วันที่ 18 ม.ค.ในที่สุด.