“สมาคมผู้ค้ายาสูบไทย และสมาคมผู้ปลูก ผู้บ่มและผู้ค้ายาสูบแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทบุหรี่ ได้ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลที่องค์กรเหล่าน้ีกล่าวอ้างเป็นข้อมูลที่บิดเบือน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องในการพิจารณากฎหมาย” ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พ.ร.บ.ควบคุมยาสูบฉบับใหม่อย่างเข้มขรึม
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและจัดทำร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่หลายต่อหลายคนในสังคมเกิดความเข้าใจผิด หลังจากมีผู้ตั้งใจปล่อยข้อมูลที่บิดเบือนสู่ชาวไร่ยาสูบ
ไฉนชาวไร่ยาสูบ ชนชาวรากหญ้าจึงออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.ยาสูบกันสุดฤทธิ์ ?
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เปิดเผยถึงกรณีที่มีกลุ่มก้อนต่างๆ ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว อันเนื่องมาจากมีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมบุหรี่ ใช้กลยุทธ์หนุนหลังให้ชาวไร่ยาสูบให้ออกมาต่อต้าน พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ พร้อมกันกับบิดเบือนข้อมูลที่แท้จริง ซึ่งเป็นวิธีการดังกล่าวได้ถูกใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนได้รับการเปิดโปงต่อสาธารณะไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง
...
“บางองค์กรถึงกับซื้อหน้าโฆษณา เพื่อมุ่งหวังที่จะสื่อสารออกไปว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้สร้างความสูญเสียให้แก่ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ คือกลุ่มชาวไร่ยาสูบ ไปจนถึงปลายน้ำ คือ ผู้ค้าปลีก ซึ่งคนกลุ่มนี้พยายามที่จะบิดเบือนว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้กำลังจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวไร่ยาสูบอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่มีบทบัญญัติใดในร่างกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับชาวไร่ยาสูบเลย จนนำมาสู่แรงต่อต้านจาก สมาคมการค้ายาสูบไทย อย่างต่อเนื่อง” ที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและจัดทำร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบ
ขณะที่ สมาคมการค้ายาสูบไทยได้ถูกจัดตั้งขึ้นและสนับสนุนการดำเนินการโดยบริษัทบุหรี่ต่างชาติ ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องยากเท่าใดนักที่จะวิเคราะห์ว่า แท้จริงแล้วบริษัทใดที่ต้องการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อปกป้องผลกำไรปีละ 3,000 ล้านบาทในประเทศไทย
เปิดกำไรบริษัทบุหรี่ เจาะรายได้ร้านค้าปลีก
ยอดจำหน่ายบุหรี่ซิกาแรตต่อปีเฉลี่ย 2,008 ล้านซอง จำนวนบุหรี่ที่สูบ (เพื่อให้ง่ายแก่การคำนวณ) 2,000 ล้านซองต่อปี โดยผู้สูบมีค่าใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่ 586 บาทต่อเดือนต่อคน มีจำนวนร้านค้าปลีกยาสูบ 670,000 ราย เฉลี่ยสถิติการจำหน่ายบุหรี่ ต่อร้านค้าปลีก 2,985 ซองต่อปี หรือ 8 ซองต่อวัน 240 ซองต่อเดือน เฉลี่ยกำไรต่อร้านค้าปลีกต่อเดือน (กำไรต่อซองเฉลี่ย = 3.5 บาท) เท่ากับ 840 บาทต่อเดือน
ส่วนแบ่งการตลาด (โดยประมาณ) อยู่ที่โรงงานยาสูบร้อยละ 75 และบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ขายบุหรี่มาร์ลโบโร และแอลแอนด์เอ็ม) ร้อยละ 22 และอื่นๆ ร้อยละ 3 ซึ่งกำไรโรงงานยาสูบต่อปี (ประมาณ) 6,000 ล้านบาท กำไรบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) ต่อปี (ประมาณ) 3,000 ล้านบาท
3 ประเด็นใหญ่ที่ชาวไร่อ้อยและผู้ค้าปลีกเข้าใจผิด
1.ห้ามแบ่งขายเป็นมวน
ร่าง พ.ร.บ.นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านค้าปลีก คือ ห้ามฝ่าฝืนทำการโฆษณา ณ จุดขาย และห้ามจำหน่ายบุหรี่เป็นมวนๆ (ต้องขายเป็นซอง) เพื่อทำให้เด็กๆ ที่มีกำลังซื้อน้อยเข้าถึงบุหรี่ได้ยากขึ้น ช่วยให้เกิดนักสูบหน้าใหม่น้อยลง ขณะนี้เด็กไทยสามารถซื้อบุหรี่ได้ง่าย โดยร้อยละ 70 ของเด็กที่สูบบุหรี่ซื้อแบบรายมวน
...
สมาคมผู้ค้ายาสูบไทยเองเป็นผู้ให้ข้อมูลว่า ส่วนแบ่งยอดขายบุหรี่เป็นร้อยละ 12.5 ของร้านค้าปลีก ซึ่งหากข้อมูลนี้เป็นจริงตามที่สมาคมผู้ค้ายาสูบอ้าง และหากร่าง พ.ร.บ.มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทำให้ยอดขายสินค้ายาสูบลดลงได้ถึงร้อยละ 10 ส่วนแบ่งรายได้ยอดขายบุหรี่ของร้านค้าปลีกก็จะลดจากร้อยละ 12.5 เหลือ 11.25 เท่านั้น ดังนั้น การที่อ้างว่าร่าง พ.ร.บ.จะส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจไทยโดยรวม จึงเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย
2.ซองบุหรี่แบบเรียบ
โดยผู้ค้าปลีกให้เหตุผลว่า หากประเทศไทยเปลี่ยนมาใช้ซองบุหรี่แบบเรียบ จะทำให้ผู้ค้าเลือกหยิบซองบุหรี่ยาก เนื่องจากดูไม่ออกว่าเป็นยี่ห้ออะไร แต่อันที่จริงแล้วบนซองบุหรี่มีการพิมพ์ชื่อยี่ห้อลงไปด้วย และไม่ได้เป็นสีขาวทั้งซองอย่างที่กล่าวอ้างกันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งประเทศออสเตรเลียมีการใช้ซองบุหรี่แบบเรียบแล้ว และไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตามมา
3.ห้ามขายบุหรี่ใน วัด ศาสนสถาน โรงพยาบาล ร้านขายยา สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา และสถานที่อื่นตามรัฐมนตรีจะประกาศ
สมาคมผู้ค้ายาสูบไทย ได้ให้เหตุผลไว้ว่า ข้อห้ามเช่นนี้เป็นความเสี่ยงทางการลงทุน ซึ่งแท้จริงแล้วเรื่องดังกล่าวมาจาก พ.ร.บ.สุรา ที่มีความพยายามจะทำข้อตกลงในเรื่องการขายสุรา ซึ่งกำหนดให้มีระยะห่างจากโรงเรียนประมาณ 5000 เมตร แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้ โดยมีข้อจำกัดในเรื่องของที่ตั้งของสถานศึกษาที่อยู่ในบริเวณที่ติดๆ กัน ดังนั้น การห้ามขายบุหรี่ในสถานที่ต่างๆ ตามที่มีการกล่าวอ้างนั้น จึงยังไม่ได้บรรจุเข้าไปในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว
...
บิดเบือนข้อเท็จจริง ประโคมข่าวร้ายใส่ร่าง พ.ร.บ.ยาสูบฉบับใหม่ เพื่อ... ?
ศ.นพ.ประกิต ชี้ชัดถึงเรื่องดังกล่าวว่า บริษัทบุหรี่นั้น รู้ดีว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว สามารถปิดชองโหว่ของการโฆษณาบุหรี่และการส่งเสริมการขายทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ เช่น ห้ามโฆษณาทางสื่อออนไลน์ ห้ามใช้สื่อพริตตี้ ห้ามสนับสนุนผ่านโครงการต่างๆ ของเด็กนักเรียน เป็นต้น หากเพราะมาตรการเหล่านี้จะสามารถลดจำนวนวัยรุ่นที่จะเข้ามาติดบุหรี่ได้ เนื่องจากเยาวชนไทยเมื่อติดบุหรี่แล้ว ร้อยละ 70 จะไม่สามารถเลิกสูบได้ และกลายเป็นลูกค้าที่ซื่อสัตย์ของบริษัทบุหรี่ไปตลอดชีวิต
ขณะที่ ร้อยละ 30 จะติดบุหรี่ไปอีกประมาณ 20 ปี จนกว่าจะสามารถเลิกได้ ซึ่งบริษัทบุหรี่กลัวว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้ จะทำให้บริษัทหาลูกค้าใหม่มาแทนลูกค้าเก่าที่ทยอยป่วยและเสียชีวิตได้ยากขึ้น ดังนั้น บริษัทบุหรี่จึงทุ่มทุนมหาศาลสนับสนุนให้สมาคมการค้ายาสูบไทย และสมาคมชาวไร่ยาสูบออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน
6 ประเด็นหลักที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมใน พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่
1.แก้ไขคำนิยามให้ทันกับกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่
- คำว่า “ผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ให้หมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ๆ อาทิ บุหรี่ไฟฟ้า บารากู่
- คำว่า “การโฆษณา” ให้ครอบคลุมการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ๆ อาทิ การใช้สื่อบุคคล เช่น พริตตี้
...
2.เพื่มมาตรการป้องกันการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบของเยาวชน
-ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ให้เท่ากับกฎหมายสุรา (ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 18 ปี)
- ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ปัจจุบันมีนโยบายห้าม แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ)
- ห้ามขายบุหรี่ซิกาแรตที่บรรจุซองน้อยกว่าซองละยี่สิบมวน
- ห้ามแบ่งขายบุหรี่ซิกาแรตเป็นมวนๆ (ปัจจุบันห้ามอยู่แล้ว แต่กฎหมายเขียนไว้ไม่ชัดเจน)
3.เพิ่มข้อห้ามการโฆษณาทางอ้อม
- ห้ามการสื่อสารการตลาดในสื่อต่างๆ รวมถึงการใช้สื่อบุคคล (พริตตี้)
- ห้ามเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับ “กิจกรรมเพื่อสังคม” (CSR) ของบริษัทบุหรี่ในทุกสื่อ (ปัจจุบันห้ามเพียงสื่อวิทยุและโทรทัศน์)
4.เพิ่มมาตรการอื่นๆ ตามที่กำหนดในอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์กรอนามัยโลก
- ห้ามส่วนราชการรับการอุปถัมภ์จากธุรกิจยาสูบ (ปัจจุบันห้ามโดยมติ ครม.)
- กำหนดลักษณะของจุดขายปลีกยาสูบ
- กำหนดให้บริษัทบุหรี่ต้องจัดส่งรายงานประจำปีให้คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบ
- กำหนดแนวทางและขั้นตอนการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับบริษัทบุหรี่ ในกรณีที่มีความจำเป็น
5.เพิ่มมาตรการคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่
- กำหนดให้ผู้ดำเนินการ (เจ้าของสถานที่สาธารณะ) มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ให้มีการสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่
- ปรับปรุงขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายเขตปลอดบุหรี่
6.ปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการควบคุมยาสูบในทุกระดับ
- กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมยาสูบระดับประเทศ และคณะกรรมการควบคุมยาสูบ ระดับจังหวัด รวมทั้งให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการควบคุมยาสูบ ทั้งนี้ เนื่องจากงานควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศไทย ยังขาดโครงสร้างองค์กรรัฐที่จะสนับสนุนการควบคุมยาสูบในระดับจังหวัด ทั้งๆ ที่คนไทยที่สูบบุหรี่กว่าร้อยละ 90 อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด
สถานการณ์การสูบบุหรี่ของคนไทย
จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทย 10.9 ล้านคน เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี 1,671,194 คน โดยมีผู้สูบบุหรี่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ 50,710 คนต่อปี แต่ละคนป่วยหนักก่อนเสียชีวิตเฉลี่ย 2 ปี ซึ่งแต่ละคนที่เสียชีวิตอายุสั้นลงเฉลี่ย 12 ปี และส่งผลให้เกิดการสูญเสียจากการป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร 52,000 ล้านบาท
ขณะที่ ประเทศไทยมีจำนวนชาวไร่ยาสูบทั้งหมด 61,058 ราย มีผลผลิตใบยาปี 2552/2553 62,448,784 กิโลกรัม เป็นใบยาสำหรับส่งออก ร้อยละ 64.8 และเป็นใบยาที่รับซื้อโดยโรงงานยาสูบไทย ร้อยละ 35.2
คนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่วันละ 140 คน ปีละ 50,710 คน หรือการเจ็บป่วยและการตาย มิใช่เรื่องสำคัญ
สุดท้ายจบลงด้วยการเจ็บป่วยและการตายเป็นเรื่องไม่สำคัญ และมองว่าคนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่วันละ 140 คน ปีละ 50,710 คน เป็นเรื่องไม่เร่งด่วน.