นักเรียน ม.ต้น กินยาที่รุ่นพี่นำมาโรงเรียน โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร กินเข้าไปแล้วจึงมีอาการเมาอย่างแรง ต้องส่ง รพ.17 คน ครูยึดไว้ได้28แผง ผู้ปกครองแจ้งความแล้ว7คน หมอชี้เป็นยารักษาโรคประสาท ฤทธิ์แรงกว่ายานอนหลับทั่วไป 10 เท่าเสี่ยงเสียชีวิต...
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 8 ม.ค.ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองนักเรียนรายหนึ่งว่า ลูกชายของอายุ 13 ปีเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดสะแกงาม ถนนพระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน ว่าลูกชาย ได้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาสีของโรงเรียนเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา และกินยาชนิดหนึ่งเข้าไปจนมีอาการเมายาอย่างหนัก
ทั้งนี้ ผู้ปกครองคนดังกล่าว เล่าว่า เห็นลูกชายมีสีหน้าซีดเผือด เดินเซไปมาคล้ายคนเมา และมุ่งหน้าขึ้นเดินขึ้นห้องพักโดยไม่ทักทายคนในบ้าน ดูผิดวิสัยปกติ จึงเดินขึ้นไปดู พบมีอาการเบลอพูดอยู่คนเดียว ถามอะไรไม่สามารถโต้ตอบได้คล้ายคนเมายา จึงรีบอุ้มลูกลงมาล้วงคอให้อ้วก แต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้โทรไปสอบถามครูประจำชั้น ทราบว่าช่วงบ่ายที่ผ่านมา ขณะที่ทุกคนกำลังร่วมงานกีฬาสีกันอย่างสนุกสนาน ได้มีรุ่นพี่ชื่อหญิง (นามสมมติ) นำยาไม่ทราบชนิดแต่มีผลกล่อมประสาทมาให้พวกเพื่อนๆ ภายในโรงเรียนกินกัน นักเรียนที่กินไปบางคนที่ยังไม่กลับบ้าน ทางโรงเรียนได้นำส่งโรงพยาบาลไปส่วนหนึ่งแล้ว จึงบอกให้ตนรีบพาลูกชายไปพบแพทย์ เพราะยาชนิดนี้เป็นยากล่อมประสาทชนิดแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
"หลังนำส่ง รพ.พระราม 2 ลูกชายยังมีอาการเบลอๆ พูดจาคนเดียว หมอได้ทำการล้างท้อง และให้น้ำเกลือพร้อมยาลดอาการอาเจียนทางสายยาง แต่ผ่านไปกว่า 1 คืน ตอนนี้ยังมีอาการมึน และเบลอ ถามอะไรก็ยังสับสน แต่ได้บอกว่า เมื่อวาน รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งนำยาชนิดหนึ่งมาที่โรงเรียน แล้วอ้างว่าเป็นวิตามินเสริม กินแล้วจะทำให้สนุก โดยมีนักเรียนกลุ่มของรุ่นพี่คนดังกล่าวกินกันไปหลายคน ส่วนลูกชาย จากการสอบถาม กินเข้าไป 5 เม็ด เป็นยาที่รุ่นพี่เอามาแจกให้เพื่อนคนอื่นๆ และวางไว้ ลูกชายเห็นคิดว่าเป็นวิตามินเสริมตามที่คนอื่นๆ กินและอวดอ้าง จึงอยากลองบ้างจึงได้นำมากิน เมื่อกินไปเม็ดแรกไม่เห็นผล จึงกินตามไปอีก 4 เม็ด เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าเป็นวิตามินและตัวยามีสีชมพูน่ากิน เบื้องต้นได้ไปแจ้งความที่สน.แสมดำ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว" ผู้ปกครองกล่าว
...
ด้าน ผอ.ร.ร.วัดสะแกงาม กล่าวว่า ตนทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว โดยเหตุเกิดขึ้นประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งโรงเรียนมีการจัดกิจกรรมกีฬาอยู่ พบว่านักเรียนบางส่วน มีอาการมึนงง เสียการทรงตัว บางรายมีอาการอาเจียน จึงได้สอบถามจนทราบว่า มีนักเรียนหญิง อายุ 14 ปี อยู่ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 ได้นำยาชนิดหนึ่งมา เม็ดสีชมพู โดยบอกว่าเป็นวิตามินเสริม เมื่อกินแล้วจะมึนเมา และเป็นยานอนหลับ กลุ่มเพื่อนๆ ต่างก็กินเข้าไปกันหลายเม็ดคนกินมากสุดคือ 5 เม็ด ภายหลังที่กินก็เกิดอาการมึนงง เสียการทรงตัว พูดจาไม่รู้เรื่อง
ผอ.กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่า ยาชนิดนี้ชื่อยา Erimin 5 ผลิตในประเทศญี่ปุ่น โดยทางโรงเรียนสามารถตรวจยึดได้กว่า 28 แผง แผงละ 10 เม็ด จากการสอบถามเด็กหญิงคนที่นำมา บอกว่า ตนได้นำยาชนิดนี้มาจาก พี่เขย ซึ่งมีอาการทางประสาทและต้องใช้ยาชนิดนี้เป็นประจำ จึงได้แอบขโมยมาจากที่บ้านเพื่อลองเอง แต่ทางเพื่อนๆ เห็นและอยากลองด้วยจึงได้แบ่งให้กิน ซึ่งเด็กนักเรียนที่กินยาดังกล่าวเข้าไปจำนวน 17 คน ต้องเข้ารักษาที่ รพ.พระราม 2 และรพ.เพชรเกษม ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิงร่วมห้องของเจ้าของยา และมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อีกบางส่วนที่ได้กินเข้าไป ซึ่งทุกรายมีอาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงมึนจากฤทธิ์ยาบางส่วนแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ยังคงเหลือที่ยังคงรักษาตัวอยู่ที่รพ.พระราม 2 อีกประมาณ 7 คน
"จากการสอบถามแพทย์ให้การว่า ยาดังกล่าว เป็นยานอนหลับที่มีฤทธิ์แรงกว่ายานอนหลับทั่วไปกว่า 10 เท่า ใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีอาการทางประสาทและลมชัก หากทานเข้าไปจะมีอาการสับสน มึนงง สูญเสียการทรงตัว หากทานเข้าไปในปริมาณมากๆ หรือใช้ร่วมกับเหล้าอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรักษาแพทย์ยังไม่มีวิธีการที่ใช้รักษาได้ ทำได้เพียงแค่ควบคุมอาการ และให้ยาค่อยๆ หมดฤทธิ์ไปเอง" ผอ.กล่าว และเผยด้วยว่า เด็กทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงคงไม่ลงโทษถึงขั้นไล่ออก ซึ่งตัวเด็กเองขณะนี้เครียดมาก ร้องไห้ตลอดเวลา ต้องให้ครูไปคอยดูแล
ด้าน ร.ต.ท.พายัพ สุคนธสาร พนักงานสอบสวน สน.แสมดำ เผยว่า เบื้องต้นได้มีผู้เสียหายแจ้งความแล้วประมาณ 7 ราย โดยทางเจ้าหน้าที่ได้สอบถามไปทางเด็กผู้หญิงคนดังกล่าว และคุณครู เบื้องต้นทราบว่า ได้แอบเอายามาจากพี่เขยซึ่งเป็นโรคประสาทและนำมาที่โรงเรียนในวันเกิดเหตุ แต่ไม่ได้บังคับเพื่อนๆ กิน เพียงแต่เอาออกมาบอกเพื่อนว่าเป็นยานอนหลับ แต่ไม่รู้ว่ากินเข้าแล้วจะเป็นอย่างไร เพื่อนๆ ก็อยากลองและขอลอง โดยกินกันไป 3-5 เม็ด ส่วนตัวเด็กที่เอามาไม่ได้กิน ซึ่งจะได้ติดต่อผู้ปกครองของเด็กสอบถามว่านำยาชนิดนี้มาจากที่ใด เพื่อหาความจริงต่อไป.