ออกหมายจับผู้ต้องหาคดีโกงเงิน สจล. เพิ่มอีก 2 ราย พบโยงใยกับผู้ต้องหาที่ถูกจับก่อนหน้ามีหลักฐาน การโอนเงินจากบัญชี สจล.เข้าบัญชีผู้ต้องหาทั้ง 2 รายรวม 90 ล้านบาท ตำรวจอายัดบัญชีผู้ร่วมขบวนการอีกกว่า 10 รายแล้ว ด้านแม่ “พิงกี้” ดาราสาวที่ถูกสื่อระบุว่าเป็นหุ้นส่วนบริษัทในเครือของผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี บอกเป็นแค่หุ้นลม แถมบริษัทที่ตั้งขึ้นมาทำธุรกิจสร้างละคร มีปัญหาอยู่ระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยชั้นศาล
คดีโกงเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ครั้งมโหฬารกว่า 1,475 ล้านบาท โดยตำรวจ บก.ป. จับนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ น.ส.อัมพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนการคลัง สจล. ก่อนนายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ และนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ เข้ามอบตัว เหลือเพียงนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และนางสมบัติ โสประดิษฐ์ ที่ยังหลบหนี ล่าสุดตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่ม 2 ราย พร้อมหาหลักฐานสาวถึงตัวผู้ร่วมกระทำผิดระดับสูงอีกหลายราย
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 ธ.ค. พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. หัวหน้าชุดคณะสอบสวนในคดีดังกล่าว เผยว่าพนักงานสอบสวนกองปราบเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่ม 2 ราย หลังตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และนายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ที่โอนเงินเข้าบัญชีไปให้ผู้ต้องหาที่จะถูกออกหมายจับเพิ่ม โดยพบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีหลายสิบล้านบาท เบื้องต้นได้อายัดบัญชีไว้แล้ว รอเพียงเอกสารจากธนาคารส่งมาให้ พนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับทันที สำหรับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องมากกว่า 10 ราย ยังไม่ได้ออกหมายจับ ตรวจสอบร่วมกับ ปปง.จนทราบหมดแล้วว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง โดยอายัดเงินในบัญชีของผู้ร่วมกระทำผิดรายอื่นเรียบร้อยแล้ว
...
หัวหน้าคณะสอบสวนสวนกล่าวต่ออีกว่า วันนี้ชุดสืบสวนเดินทางไปตรวจสอบบ้านของนายกิตติศักดิ์ที่ จ.พิจิตร รวมทั้งส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนการคลังสจล. ที่ รพ.ตร. หลัง น.ส.อำพร อ้างต้องรอทนายความมาร่วมรับฟังด้วย ส่วนเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า 2 เครื่อง ที่ชุดสืบสวนตรวจยึดได้หลังไปค้นที่ บ.มัทธุจัด จก. ของนายกิตติศักดิ์ เชื่อว่าน่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ดีดที่กลุ่มผู้ต้องหาใช้พิมพ์ตัวเลขปลอมแปลงยอดเงินฝากในสมุดบัญชี อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นเครื่องเดียวกับที่ใช้ปลอมแปลงตัวเลขยอดเงินฝากในบัญชีของ สจล.หรือไม่ จากเดิมเชื่อว่าน่าจะอยู่กับนายทรงกลด แต่สุดท้ายมาพบที่บริษัทของนายกิตติศักดิ์ ส่วนการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ต้องหาพบว่ารู้จักกันนานแล้ว ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลายครั้ง กลุ่มผู้ต้องหาปฏิเสธมาโดยตลอดแต่ตำรวจมีหลักฐานข้อมูลในส่วนนี้แล้ว
บ่ายวันเดียวกัน พงส.กก.1 บก.ป. นำพยานหลักฐานเดินทางไปขอหมายจับผู้ต้องหาเพิ่ม 2 ราย ประกอบด้วย น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ อายุ 27 ปี ลูกสาวนางสมบัติ โสประดิษฐ์ ผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างหลบหนี และนายสมพงษ์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 57 ปี พ่อของนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวก่อนหน้านี้ ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเมื่อปี 56 มีการโอนเงินจากบัญชีของ สจล. เข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาแจ้งวัฒนะ และธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ของ น.ส.จันทร์จิรา รวม 46 ล้านบาท และเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาแจ้งวัฒนะ ของนายสมพงษ์ 44 ล้านบาท พบผู้ต้องหาทั้งคู่เปิดบัญชีเพื่อรอรับการโอนเงิน ก่อนโอนต่อไปอีกทอดหนึ่ง ขณะนี้ตำรวจทราบแล้วว่าเป็นบัญชีของผู้ใด
ส่วนกรณีสำนักข่าวอิศรา ระบุว่า บ.เคพีพี โปรดักชั่น จก. 1 ใน 7 บริษัทในเครือของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด นั้น พบว่า น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิงกี้ ดาราสาวคนดัง ร่วมเป็นกรรมการบริษัท ถือหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์นั้น เบื้องต้น พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข ระบุว่ายังไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว แต่รับว่าเห็นจากข่าวที่นำเสนอผ่านทางสื่อมวลชนแล้ว ต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริง หากพบผู้ใดเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดจะรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ด้านนางสรินยา ไชยเดช มารดาของนางเอกสาว “พิงกี้” ที่เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา กล่าวว่า บุตรสาวน่าจะกลับประเทศไทยในวันที่ 8 ม.ค.ที่จะถึงนี้ สำหรับเรื่องที่บุตรสาวมีชื่อเป็นกรรมการ บ.เคพีพี โปรดักชั่น จก.นั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ตนได้รับการชักชวนจากผู้กำกับละคร ชื่อนายคึกฤทธิ์ จันทิมา ให้เป็นผู้จัดละคร โดยมีคนแนะนำว่า จะมีคนลงทุนให้ ซึ่งก็คือนายกิตติศักดิ์ เมื่อเดินทางไปเจรจาที่บริษัทไฟแนนซ์ของนายกิตติศักดิ์ที่ จ.สมุทรปราการ เห็นว่าน่าเชื่อถือจึงตกลงเซ็นสัญญาตั้ง บ.เคพีพี โปรดักชั่น จก. ขึ้นมา โดยบุตรสาวกับนายคึกฤทธิ์เป็นแค่หุ้นลม ภายหลังนายคึกฤทธิ์ซื้อบทประพันธ์ไว้ 2 เรื่องในราคาประมาณ 2 แสนบาท แต่สุดท้ายไม่สามารถสร้างละครได้เนื่องจากติดคิวของบุตรสาว กระทั่งบุตรสาวแต่งงานทำให้ต้องเลื่อนออกไปอีก นายกิตติศักดิ์จึงฟ้องนายคึกฤทธิ์และต่อสู้กันในชั้นศาล จนสามารถไกล่เกลี่ยนัดหมายในวันที่ 26 ม.ค.58 นายคึกฤทธิ์จะนำเงินไปวางศาลประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งเป็นเงินชดใช้ค่าบทประพันธ์ จากนั้นนายกิตติศักดิ์จะถอนชื่อบุตรสาวกับนายคึกฤทธิ์ออกจากบริษัท แต่มาเกิดเรื่องดังกล่าวเสียก่อน ในส่วนของบริษัทดังกล่าว ตั้งแต่วันเซ็นสัญญาตนกับบุตรสาวไม่ได้รับรู้ข้อมูลใดๆ นายคึกฤทธิ์จะดำเนินการเองทั้งหมด จนกระทั่งมีการฟ้องร้อง โดยนายคึกฤทธิ์กันบุตรสาวออก เพราะไม่อยากให้รับรู้เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ