ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 10 ปี "พ.ต.อ.ประเสริฐ" อดีต ผกก.ตำรวจม้า ยักยอกของกลางคดีเพชรซาอุฯ ...
ที่ศาลอาญา วันที่ 26 ธ.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ, พ.ต.อ.ประเสริฐ จันทราพิพัฒน์ อดีต ผกก.ตำรวจม้า กองบังคับการตำรวจสายตรวจ (ยศขณะนั้น), พ.ต.ต.ธานี สีดอกบวบ อดีตสารวัตร กก.กาฬสินธุ์ (หลบหนีการดำเนินคดี), ร.ต.อ.ฤทธิศาสตร์ แก้วเดช อดีต รอง สว.สส. สภ.อ.บ้านตาก จ.ตาก, ด.ต.เท่ง ติ๊บปะละวงศ์ อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน จ.ลำปาง, จ.ส.ต.สนิท กาวิชา อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน, จ.ส.ต.เสวก หรือ ส่วย กันทะมา อดีตตำรวจ ผ.5 กก.2 ป. และนายสุรจิต หรือ แดงหงอก ชัยศิริ (เสียชีวิตเมื่อปี 2547) เป็นจำเลยที่ 1-8 ตามลำดับ
ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินจากผู้อื่นเพื่อประโยชน์ตนเอง หรือผู้อื่น, ร่วมกันเบียดบังยักยอกทรัพย์ของผู้อื่น (เงิน 6.6 แสนบาท) เป็นของตนเองโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 149, 147 และความผิดอื่นๆ อีกหลายข้อหา คดีนี้ป๋าลอไม่ได้ฎีกาและได้รับการพักโทษไปแล้ว โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2536 ระบุความผิดพวกจำเลย สรุปว่า พวกจำเลย ซึ่งเป็นคณะพนักงานสอบสวนสืบหาเครื่องเพชรมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ของเจ้าชายไฟซาล ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกนายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานไทยขโมยมาจากพระราชวัง ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย และนำมาขายให้กับ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร “สันติมณี” ผู้ต้องหาคดีรับของโจร
โดยระหว่างสืบสวนสอบสวนคดี พวกจำเลยทั้งหมดได้เรียกรับเงินจากนายสันติ ผู้ต้องหาหลายครั้งจำนวน 3 ล้านบาทบ้าง, จำนวน 6.6 แสนบาทบ้าง และจำนวน 1.2 ล้านบาทบ้าง เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีรับของโจร และพวกจำเลยยังได้ร่วมกันยักยอกเพชรและทรัพย์สินของกลางหลายรายการ เช่น นาฬิกาข้อมือฝังเพชร ยี่ห้อโชปาร์ด ,นาฬิกายี่ห้อบูเช่กิรอด, อัญมณีแดงรูปดอกลำดวน 5 แฉก สร้อยเพชร สร้อยคอทองคำฝังเพชร จี้เพชร ต่างหู และอื่นๆ ไปโดยมิชอบ ไม่นำส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวน พวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีมาโดยตลอด
...
คดีนี้โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2549 โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 จำคุก 2 กระทงๆ ละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี จำเลยที่ 4 มีความผิดตามมาตรา 147 จำคุก 7 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ไว้ 4 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2, 5, 6, 7 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานโจทก์ยังไม่เพียงพอ และให้คืนทรัพย์สินของกลาง 9 รายการ และเงินจำนวน 200,000 บาท แก่ผู้มีสิทธิ์
ต่อมาโจทก์-จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 55 โดยพิพากษายืนจำคุก พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี และพิพากษาแก้ในส่วนของ พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ให้จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 5, 6 และ 7 ผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบ มาตรา 83 จำคุกคนละ 7 ปี แต่จำเลยที่ 5 และ 6 นำเงินของกลางจำนวน 2 แสนบาทมาคืน ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 5 – 6 ไว้คนละ 4 ปี 8 เดือน นอกเหนือจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ต่อมา พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาคนเดียวขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1, 4-7 ไม่ยื่นฎีกาคดีจึงยุติในชั้นอุทธรณ์ โดยระหว่างฎีกาจำเลยที่ 2 คงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้ เบียดบังยักยอกทรัพย์จากนายสันติ ผู้ต้องหา ซึ่งรับซื้อทรัพย์สินที่ถูกลักมาจากพระราชวังประเทศซาอุฯ มูลค่า 6.6 แสนบาทหรือไม่ คดีรับฟังได้ว่า นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานไทย ซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาดได้ขโมยทรัพย์สินมาจากพระราชวังซาอุฯ ซึ่งเป็นเพชร เครื่องประดับ อัญมณี และอื่นๆ น้ำหนักรวมประมาณ 30 กิโลกรัม รวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท
ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย จากนั้นทางการซาอุฯ ได้ประสานมายังทางการไทย เพื่อให้ติดตามจับกุมตัวนายเกรียงไกร โดยตั้ง พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน โดยมีจำเลยที่ 2-4 อยู่ในชุดสืบสวนด้วย เมื่อนายเกรียงไกรทราบว่ามีการตั้งชุดสืบสวนติดตามจับกุม จึงได้หลบหนีและนำทรัพย์สินไปฝากไว้กับญาติและขายให้กับผู้ต้องหารายอื่นๆ บางส่วน และนำไปมอบให้กับจำเลยที่ 1 บางส่วน นอกจากนี้ ชุดสืบสวนก็ติดตามยึดทรัพย์สินคืนมาได้บางส่วน แต่ไม่นำส่งพนักงานสอบสวน ซึ่งต่อมานายเกรียงไกร ถูกจับกุมได้ที่ จ.ตาก
จนกระทั่งถูกศาลพิพากษาจำคุกจนคดีถึงที่สิ้นสุด ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาคัดค้านว่า พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังเอาทรัพย์สินไป และพยานโจทก์ จำไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เดินทางไปยังบ้านพักของ นายนิคม เตชะโม่ง ญาติของนายเกรียงไกร เพื่อเรียกรับทรัพย์สินด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่าแม้คำให้การของพยานโจทก์จะให้การขัดแย้งกันบ้าง แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ยืนยันว่า ไม่ได้เดินทางไปยังบ้านของนายนิคม แต่จำเลยที่ 2 กลับยอมรับว่าได้เดินทางไปยังบ้านหลังดังกล่าวจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่ได้เข้าไปในบ้านพักโดยรออยู่ในรถ ก่อนจะเดินทางกลับ
ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้ตรวจดูบันทึกคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนของศาลจังหวัดเชียงใหม่และศาลจังหวัดตาก แล้วเห็นว่าการสอบปากคำจำเลย 4 คน ก็เป็นไปด้วยความรอบคอบ รัดกุม ไม่ถูกชักนำหว่านล้อม เพื่อให้พยานให้ปากคำผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริง ซึ่งในการสอบสวนดังกล่าวมีทั้งข้าราชการฝ่ายกระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นำโดย พล.ต.ท.ธนู หอมหวน พร้อมคณะ ร่วมทำการสอบสวนด้วย และมีการสอบสวนถึง 5 ครั้ง มีการทำบันทึกถ้อยคำอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งพยานต่างเบิกความสอดคล้องตรงกันไปตามที่รู้เห็น มิได้บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งหากไม่ได้สมัครใจในการเข้าให้ถ้อยคำ ก็เป็นการยากที่พนักงานสอบสวนจะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาเอง เนื่องจากข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าว มีความสลับซับซ้อนและมีบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
...
อย่างไรก็ตาม แม้พยานโจทก์จะไม่ได้ยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เอาเงิน 6.6 แสนบาทไปหรือไม่ แต่ก็รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เดินทางไปบ้านนายนิคม ญาติของนายเกรียงไกรจริง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจรับฟังจากพยาน 4 ปาก ในชั้นสอบสวนและสืบเสาะข้อเท็จจริงได้ โดยมิต้องถือถ้อยคำตามพยานโจทก์ ซึ่งพยานทั้ง 4 ปาก ต่างยืนยันตรงว่า พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ได้รับเงินจากนายนิคม ซึ่งไปฝากไว้กับพันจ่าอากาศเอกคนหนึ่ง จำนวน 6.6 แสนบาทจริง โดยไม่ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน แต่กลับเบียดบังทรัพย์สินไปเป็นของตนโดยทุจริต จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน จำคุก 10 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ในศาลชั้นต้นใช้เวลาสืบโจทก์-จำเลยนานกว่า 13 ปี เนื่องจากเอกสารในคดีมีจำนวนมาก และต้องส่งประเด็นไปสืบตามศาลจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการติดตามพยานในศาลอุทธรณ์อีก 6 ปี รวมเป็นเวลากว่า 19 ปี