หลายต่อหลายครั้งที่เราได้ยินข่าว คนร้ายจับตัวประกัน จี้ตัวประกัน หรือแม้แต่ฆ่าตัวประกันก็ตามที แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เหตุการณ์ที่ว่ามานี้ต่างมีบทสรุปของเรื่องราวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ร้ายโดนวิสามัญ จบชีวิตท่ามกลางเหตุการณ์อันเลวร้าย หรือกลับกลายเป็นผู้รอดชีวิต ได้ย่ำเท้าก้าวเดินในสังคมอีกครั้ง
จากเหตุการณ์จี้จับตัวประกันกลางนครซิดนีย์ จนนำมาสู่บทสรุปแห่งการนองเลือด เพื่อจบสถานการณ์ร้าย แต่เรากลับปฏิเสธไม่ได้เสียแล้วว่า เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะนี่คือการเดิมพันชีวิตด้วยชีวิต หากพลาด ไม่ใครก็ใครที่จะต้องหยุดลมหายใจลาโลกไปในที่สุด!
ทว่า คุณเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีวิธีการเด็ด กระบวนการลับเช่นไร ที่จะสามารถคลี่คลายเหตุการณ์จี้ตัวประกันสุดระทึก วันนี้ เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์มีคำตอบ!
กลเม็ดเด็ดช่วยตัวประกันพ้นมือผู้ร้าย
พ.ต.อ.ธีรชาติ ธีรชาติธำรง ผกก.กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย ยอมเผยถึงปฏิบัติการช่วยเหลือคนร้ายว่า อันดับแรกต้องพิจารณาเสียก่อนว่า 1. ตัวประกันตกอยู่ในสภาพใด 2. อยู่ในสถานที่แห่งไหน และ 3. ถูกคนร้ายควบคุมตัวอยู่ในวิธีการใด และในขณะเดียวกันก็ต้องดู 1. สถานที่เกิดเหตุ 2. จำนวนคนร้าย และ 3. วิธีการของคนร้ายเป็นองค์ประกอบในการช่วยเหลือตัวประกัน
...
ยกตัวอย่างเช่น คนร้าย 1 คน ใช้อาวุธมีดจี้ไปที่ตัวประกัน บริเวณกลางถนน ทางเจ้าหน้าที่ก็ใช้วิธีช่วยตัวประกันในรูปแบบหนึ่ง หรือถ้ามีคนร้ายเป็นจำนวนหลายคน ทุกคนต่างมีอาวุธปืนก็จะใช้อีกวิธีการหนึ่ง เพราะฉะนั้น จะต้องวิเคราะห์สถานการณ์นั้นๆ ให้ได้เสียก่อนว่าเหมาะกับวิธีใด แต่หลักสำคัญ คือ ต้องเริ่มจากเบาไปหาหนัก
“การช่วยเหลือตัวประกัน เริ่มจากการเจรจา หรือเกลี้ยกล่อมให้ปล่อยตัวประกันก่อน โดยวัตถุประสงค์ของการเจรจาเพื่อให้คนร้ายปล่อยตัวประกัน จึงเป็นเรื่องของเทคนิคว่าเจ้าหน้าที่มีเทคนิคอย่างไร ซึ่งเทคนิคตรงนี้เปิดเผยไม่ได้ ถ้าเปิดเผยไป คนร้ายก็รู้ว่านักเจรจาต่อรองมาพูดแบบนี้เพื่ออะไร เวลาเจ้าหน้าที่ไปฝึกที่ใดก็ตาม เขาจะไม่ให้เปิดเผย เพราะนี่คือยุทธวิธี”
หัวใจสำคัญ ต่อรองผู้ร้าย ชิงตัวประกัน
พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบช.สตม. ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาตัวประกัน เผยถึงประสบการณ์เจรจาต่อรอง เพื่อเข้าชิงตัวประกันให้ทีมข่าวฟังว่า ร้อยทั้งร้อย เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ต้องการให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจากแผนที่ถูกวางขึ้นแต่อย่างใด หากเพราะจุดประสงค์อันเป็นส่ิงสำคัญที่สุดของภารกิจเช่นนี้ คือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องได้รับความปลอดภัยและมีผู้รอดชีวิตให้มากที่สุด
ดังนั้น แผนการบุกที่รอบคอบที่สุด จำเป็นต้องมีองค์ประกอบเบื้องต้นที่สำคัญด้วยกัน 2 ประการ คือ 1. ใช้กำลัง อาวุธที่ถูกหยิบนำไปใช้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ มีความรุนแรงเกินไปหรือไม่ 2. วิธีการที่ใช้ช่วยเหลือตัวประกัน ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือขัดกฎหมายหรือไม่ และหัวใจสำคัญอันเป็นที่ตั้งของกระบวนการนี้ ก็คือ ความรอบคอบรัดกุม
“เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เป็นผู้ปฏิบัติการในภารกิจนั้นๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะไปฆ่าผู้ก่อการร้าย แต่สิ่งที่ทุกคนพยายามทำมาโดยตลอดเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ คือ พยายามจับเป็น” มือหนึ่งชุดเจรจาต่อรอง พูดอย่างตรงไปตรงมา
พ.ต.อ.ธีรชาติ ธีรชาติธำรง ผกก.ต่อต้านการก่อการร้าย ผู้มากความสามารถในเรื่องช่วยเหลือตัวประกัน ยึดหลักหัวใจสำคัญที่ว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา และพึงระลึกอยู่เสมอว่า หากเราต้องตกเป็นตัวประกัน เราจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร ในขณะเดียวกัน หากตัวเราเองเป็นคนร้าย ความรู้สึก ณ วินาทีนั้นจะเป็นเช่นไร”
เมื่อคุณถูกจับเป็นตัวประกันจะเอาตัวรอดอย่างไร ?
...
ทันทีที่คุณตกอยู่ในสภาวะของตัวประกัน แน่นอนคุณอาจสติหลุด เกิดความกลัว หวาดระแวงไปต่างๆ นานา พล.ต.ต.ปรีชา แนะนำถึงหลักปฏิบัติเมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ไว้ว่า
1. มีสติ หากคุณฟูมฟาย หรือตกใจสุดขีด อาจทำให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก
2. อย่าขัดขืน ต่อสู้ จากเดิมที่ผู้ร้ายไม่เคยคิดว่าตัวประกันเป็นศัตรู ก็อาจเปลี่ยนความคิด และนำไปสู่การทำร้ายร่างกายตัวประกันได้
3. อย่าทำตัวโดดเด่น หากเพราะจะเสี่ยงต่อการถูกผู้ร้ายเลือกออกมาเป็นตัวประกัน
4. ฟังสิ่งที่คนร้ายพูดหรือร้องขอ สงบอารมณ์ โดยไม่ให้เหตุการณ์เกิดความวุ่นวาย เพื่อซื้อเวลาในการเจรจาต่อรองกับคนร้าย
พ.ต.อ.ธีรชาติ แนะวิธีเอาตัวรอดอีกทางหนึ่งว่า “ก่อนอื่นต้องดูทางหนีทีไล่เสียก่อนว่า หากคนร้ายกำลังควบคุมตัวคุณชนิดที่คุมเข้มมากๆ ประกอบกับอาวุธที่คนร้ายใช้เป็นอาวุธร้ายแรง เพราะการหลบหนีจะค่อนข้างยาก และเสี่ยงต่ออันตราย ดังนั้น ไม่ควรทำ อยู่แบบสงบๆ ไม่สร้างความตื่นตระหนกหรือยั่วโมโหให้คนร้ายมีอารมณ์รุนแรงขึ้น เพื่อเป็นผลดีกับตัวเองและส่วนรวม”
...
โชคร้าย เจรจาไม่ได้ผล จะทำเช่นไร ?
พ.ต.อ.ธีรชาติ ผู้มีประสบการณ์ในการต่อรองตัวประกัน ชี้ถึงขั้นตอนต่อไปหากเกิดสถานการณ์อันไม่คาดฝันว่า หากการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่และคนร้ายไม่เป็นผล และมีแนวโน้มว่าตัวประกันกำลังได้รับอันตราย ถึงจะมีการใช้กำลังเข้าแก้ไขปัญหา ถ้าการเจรจาผ่านไป 3 วัน และยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มที่คนร้ายจะค่อยๆ ปล่อยตัวประกันออกมาเรื่อยๆ เนื่องจากตัวประกันอาจจะมีจำนวนมาก แม้ว่าต้องใช้เวลากี่วันก็ตามยังใช้การเจรจาอยู่
สำหรับการใช้กำลัง จะไม่มีการกำหนดความรุนแรงว่าจะมากน้อยเพียงใด แต่ระดับความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และจำนวนคนร้าย เช่น คนร้ายใช้ปืนยิงคนทีละคน เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปก็ต้องยิงเพื่อที่จะหยุดเขา แต่ถ้าเกิดว่าคนร้ายใช้มีดไล่ฟันคนทีละคน และเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงแล้วยิงคนร้ายตาย อาจจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แต่หากเจ้าหน้าที่ยิง 1 นัดแล้ว คนร้ายหยุด ถือว่าสมควรแก่เหตุ เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวว่าฆ่าหรือไม่ฆ่า แต่เกี่ยวกับเราระงับเหตุตามสมควรหรือไม่
“ไม่มีใครกำหนดฟันธง ณ วินาทีนั้นว่า จะต้องยิงหรือไม่ยิง เพราะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่จะยิงคนร้ายมีกรณีเดียวคือ คนร้ายจะทำอันตรายเจ้าหน้าที่หรือประชาชนให้ถึงแก่ชีวิต ดังนั้น เจ้าหน้าที่ถึงตัดสินใจระงับเหตุด้วยการใช้กระสุนจริงหรืออาวุธใดๆ ก็แล้วแต่”
ผู้ชำนาญการต่อรองตัวประกัน พูดอย่างฉะฉาน
“สตอกโฮล์ม ซินโดรม” เมื่อความรักระหว่างตัวประกันและคนร้ายเกิดขึ้น
ใช่ว่าสถานการณ์ที่ตัวประกันหวาดกลัวคนร้ายจะเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว หากเพราะสถานการณ์ที่อาจเกิดตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงก็สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างเช่น เหตุการณ์ที่ตัวประกันเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือเเม้กระทั่งเกิดความรู้สึกรักใคร่เชิงชู้สาวกับคนร้าย โดยอาการระหว่างคนร้ายและตัวประกันที่เป็นเช่นนี้ เรียกว่า “สตอกโฮล์ม ซินโดรม”
...
“เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดความยุ่งยากในการให้ความช่วยเหลือ และทำให้ผู้ร้ายอยู่ในฐานะได้เปรียบเหนือฝ่ายตรงข้ามโดยทันที” ปรมาจารย์ด้านการเจรจาต่อรองชิงตัวประกัน กล่าว
ที่สุดเหตุการณ์ จับตัวประกันระทึกโลก
พญาอินทรีปีกหัก พ่ายเกมชิงตัวประกัน
เช้าตรู่ของวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1979 นักศึกษาชาวอิหร่านราว 300-500 คน ได้บุกฝ่ากองกำลังของนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่คุ้มกันอยู่ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงเตหะราน เข้าไปจับกุมตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกันส่งตัว พระเจ้าชาห์ โมฮัมเมด เรซา ปาห์เลวี (Mohammad Reza Pahlavi : ค.ศ.1919 - 1980) ที่กำลังรักษาโรคมะเร็งอยู่ที่สหรัฐฯ กลับไปดำเนินคดีในอิหร่าน โดยเหตุการณ์ในตอนแรก กลุ่มนักศึกษาได้จับเจ้าหน้าที่อเมริกัน 52 คน เป็นตัวประกัน และยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องส่งตัวพระเจ้าชาห์กลับมา แต่สหรัฐฯ กลับปฏิเสธคำเรียกร้อง และอ้างว่า พระเจ้าชาห์กำลังรักษาตัวอยู่ นักศึกษาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลอิหร่านตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ทันที และยกเลิกการขายน้ำมันให้สหรัฐฯ ทางสหรัฐฯ ประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เตอร์ จึงตอบโต้ด้วยการให้อายัดทรัพย์สมบัติของอิหร่านทั้งหมดในสหรัฐฯ (ประมาณ 2 แสนล้านบาท) และก็ได้ส่งกองทัพเรือเข้าไปประชิดที่ทะเลอาหรับ
จากนั้นสหรัฐฯ จึงได้เปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่ ในเดือนมีนาคมปีต่อมา สหรัฐฯ ได้จัดส่งกำลังรบพิเศษชิงตัวประกัน โดยเรียกแผนปฏิบัติการนี้ว่า Operation Eagle Claw (ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรี) โดยเป็นปฏิบัติการของกองกำลังลับของสหรัฐฯ เดลต้าฟอร์ซ แต่แผนการนี้ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ในการลำเลียงพล แต่ขณะที่กำลังบินฝ่าเขตตอนใต้ของอิหร่าน เกิดผจญกับพายุทะเลทราย เครื่องบินหลายลำระเบิดพังพินาศ ทหารเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง จึงทำให้แผนการต้องล้มเลิกไปพร้อมกับความสูญเสียของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของสหรัฐฯ แต่จากนั้นในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ.1981 ทุกฝ่ายก็ตกลงกันได้ ตัวประกันทั้งหมด จึงได้รับการปล่อยตัว หลังจากโดนคุมขังเป็นเวลานาน 444 วัน
รมแก๊สลับ มือหนัก ตัวประกันตาย
วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก หรือ การล้อมนอร์ด-โอสท์ พ.ศ. 2545 เป็นการยึดโรงละครซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยกลุ่มติดอาวุธเชเชนราว 40 ถึง 50 คน ที่อ้างความภักดีต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนอิสลามในเชชเนีย คนร้ายจับตัวประกัน 850 คน และเรียกร้องให้ถอนกำลังรัสเซียออกจากเชชเนีย และยุติสงรามเชชเนียครั้งที่สอง การล้อมนี้อยู่ภายใต้การนำอย่างเป็นทางการของมอฟซาร์ บาราเยฟ หลังการล้อมนานสองวันครึ่ง กองกำลังสเปซนาซของรัสเซียได้สูบสารเคมีไม่ทราบชื่อ (คาดว่าเป็นเฟนตานิล หรือ 3-เมทิลเฟนตานิล) เข้าไปในระบบระบายอากาศของอาคารและโจมตี
ขณะที่ คนร้าย 39 คน ถูกสังหารโดยกองทัพรัสเซีย เช่นเดียวกับตัวประกันอย่างน้อย 129 คน (ซึ่งรวมชาวต่างชาติเก้าคน) ตัวประกันเกือบทั้งหมดเสียชีวิตในเหตุการณ์จากสารพิษที่สูบเข้าไปในโรงละครที่ตั้งใจใช้กับคนร้าย การใช้แก๊สดังกล่าวถูกประณามอย่างกว้างขวางว่า "มือหนัก" แต่รัฐบาลรัสเซียยืนยันว่า ตนมีพื้นที่น้อยมากสำหรับกลวิธี โดยเผชิญหน้ากับกบฏติดอาวุธหนัก 50 คนที่เตรียมฆ่าตัวตายและตัวประกัน แพทย์ในกรุงมอสโกประณามการปฏิเสธที่จะเปิดเผยเอกลักษณ์ของแก๊ส ซึ่งทำให้แพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี บางรายงานว่า ยานาลอกโซนสามารถใช้ช่วยชีวิตตัวประกันบางคนได้ผล รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งสิ้นประมาณ 170 คน.