เปิดเถื่อนไร้ทะเบียนสื่อญี่ปุ่นขอประสานแชร์ข้อมูลกับไทยรัฐ
สบส.แจ้งความดำเนินคดีเพิ่ม คลินิกรับทำอุ้มบุญแห่งที่ 2 พร้อมส่งชื่อแพทย์ที่มีเอี่ยวให้แพทยสภาอีก 1 ราย ด้านสื่อญี่ปุ่นระบุหนุ่มญี่ปุ่นเดินทางมาไทย เตรียมให้ข้อมูลตำรวจ ขณะที่บริษัทรับอุ้มบุญชื่อดัง แฉอีก หนุ่มยุ่นตั้งใจมีลูกปีละ 10-15 คน ตระเวนขอใช้บริการบริษัทรับปรึกษาผู้มีบุตรยาก อีกหลายแห่ง หนำซ้ำถือหนังสือเดินทาง 10 ประเทศ ขณะที่ทูตออสเตรเลียประสานกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการพัฒนาสังคมฯของไทย ขอหารือคสช.ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ก่อน สนช.พิจารณากฎหมายอุ้มบุญห่วงกระทบเด็กอุ้มบุญที่รอเกิดในไทยงวดเข้ามาทุกขณะสำหรับการรอให้นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ หนุ่มชาวญี่ปุ่น วัย 24 ปี ที่ระบุเป็นพ่อของเด็กอุ้มบุญในไทยกว่า 10 ราย โดยทนายของนายมิตซูโตกิ เคยแจ้งกับตำรวจว่าชายหนุ่มจะเข้ามาให้ข้อมูลกับตำรวจระหว่างวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ โดยที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 17 ส.ค. มีรายงานว่า ชุดสืบสวนสอบสวนรวบรวมข้อมูล และตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ที่มีการระบุว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐีแดนอาทิตย์อุทัย ว่าจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์อุ้มบุญแล้วคลอดเด็กทารกจำนวนถึง 15 คน เตรียมตั้งแท่นรอสอบรายละเอียดเกี่ยวกับเด็กอุ้มบุญตามที่อ้างว่า มีการนำเชื้ออสุจิของนายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ผสมกับไข่ของหญิงที่เตรียมมาแล้วก่อนนำไปฝังไว้ในมดลูกหญิงรับจ้างตั้งครรภ์หลายราย หลังจากทนายความแจ้งว่า นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ คาดว่าจะเดินทางมาจากประเทศกัมพูชา เข้ามาพบพนักงานสอบสวน เพื่อชี้แจงกรณีการเป็นพ่ออุ้มบุญจนกำเนิดเด็กทารกหลายเชื้อชาติ ที่พบเด็กทารกในคอนโดมิเนียม ย่านลาดพร้าว และเพิ่งคลอดที่โรงพยาบาลโดยชุดสืบสวนจะเน้นตรวจสอบเด็กที่นำออกนอกประเทศ ทั้งนี้ พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 ได้เรียกประชุมความคืบหน้าการรวบรวมข้อมูลกรณีดังกล่าวในวันที่ 18 ส.ค. เวลา 10.00 น. ที่ สน.ลาดพร้าว
...
พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.น. กล่าวว่า อดีตทนายของนายมิตซูโตกิ ชิเกตะ เคยประสานว่า นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ จะเดินทางพบพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการอุ้มบุญเด็ก ช่วงระหว่างวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ แต่ล่าสุดยังไม่ได้รับคำยืนยันจากอดีตทนายความว่าจะมาเมื่อไหร่และวันใด โดยชุดสืบสวนสอบสวนมีการเตรียมชุดพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามข้อมูล นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ที่ สน.ลาดพร้าว ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีชาวญี่ปุ่นรายนี้แต่อย่างใด ชุดสืบสวนสอบสวนจะมีการสอบถามเจตนารมณ์ถึงกรณีการต้องการมีเด็กอุ้มบุญจำนวนมาก เพื่อต้องการนำเด็กไปทำอะไร เด็กที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้วมีชีวิตอยู่หรือสุขสบายดีหรือไม่ รวมทั้งเด็กมีภัยคุกคามหรือไม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสอบถามนายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ส่วนกรณีอ้างว่าเด็กทารกอุ้มบุญไปที่เขมรนั้นปลอดภัย และมีผู้เลี้ยงดูอย่างดี โดยมีการถ่ายภาพเด็กทารกส่งมายืนยันนั้น ตนยังไม่เห็นภาพดังกล่าวตามที่อ้างแต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 กล่าวถึงกรณีการออกหมายเรียก นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาล “ออลไอวีเอฟ” คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช ย่านเพลินจิต มาดำเนินคดีว่าพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เตรียมออกหมายเรียกให้ นพ.พิสิฐมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 18 ส.ค. คาดว่าน่าจะให้ระยะเวลา นพ.พิสิฐ จนถึงวันที่ 22 ส.ค. ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้น พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี จะเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี กล่าวด้วยว่า นพ.พิสิฐน่าจะอยู่ในไทย เพราะคดีมีโทษค่อนข้างเบา ข้อหาไม่ควบคุมดูแลให้แพทย์ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในสถานพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 การออกหมายเรียกนั้นถ้ามีเหตุผลแจ้งมาว่าไม่สามารถเข้าพบได้ จะออกหมายเรียกอีกครั้ง หากยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนอีกโดยที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงดำเนินการรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายจับต่อไป
ขณะที่นายชาตรี พินใย นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การตรวจสอบสถานบริการอีก 8 แห่งที่ให้บริการอุ้มบุญนั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย สบส. เข้าร่วม คาดว่าจะเริ่มตรวจสอบในสัปดาห์หน้า ส่วนรายชื่อแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มบุญ ก่อนหน้านี้ได้ส่งไปยังแพทยสภา 2 ราย และล่าสุดส่งไปอีก 1 ราย ซึ่งเป็นกรณีคลินิก “ออลไอวีเอฟ” ที่ปิดตัวหลบหนีในวันที่เข้าดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว เพราะมีการเปิดสถานพยาบาลเพิ่มเติมโดยไม่ขออนุญาต ส่วนรายชื่อแพทย์คนอื่นๆ ขณะนี้ต้องรอกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
นายชาตรีกล่าวอีกว่า เบื้องต้นจะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีกับสถานพยาบาล คลินิกนิวไลฟ์ไอวีเอฟ ไทยแลนด์ (New Life IVF Thailand) ย่านสาทร เป็นแห่งที่ 2 หลังจากที่เข้าตรวจค้นพบเป็นคลินิกเถื่อน ไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 ตามมาตรา 16 เปิดสถานพยาบาลโดยไม่ได้ขออนุญาต จากการตรวจสอบพบว่า ยังไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับกรณีเด็กอุ้มบุญ 9 คน และไม่มีแพทย์คนไทยเกี่ยวข้องแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางกรมสนับสนุนบริการสุภาพ จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับสถานพยาบาลดังกล่าวที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้
ส่วน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการเเพทยสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดพิเศษกรณีอุ้มบุญ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนแพทย์เพื่อให้ความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวว่าขณะนี้อยู่ในกระบวนการตรวจสอบจริยธรรมแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มบุญ เบื้องต้นต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เนื่องจากมีขั้นตอนต่างๆ เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ที่ สตช. พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนนี้ไม่อยากให้สังคมรีบด่วนสรุปข่าวที่มีชาวญี่ปุ่นอ้างเป็นพ่อเด็กจ้างผู้หญิงคนไทยตั้งท้องเป็นความผิดคดีอาญาเข้าข่ายคดีค้ามนุษย์ เป็นข่าวออกไปจะทำให้เด็กที่อยู่ในท้องหรือคลอดออกมาแล้วได้รับผลกระทบอย่างมาก จะเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย เพราะแม่ที่รับจ้างอุ้มท้องหรืออุ้มบุญไม่มีเงินจึงต้องมารับจ้างอุ้มท้องเด็กที่ไม่ใช่ลูกตัวเอง ถ้าคนที่มาจ้างให้อุ้มท้องกลัวความผิดโดนดำเนินคดีข้อหาค้ามนุษย์หลบหนีไม่ติดต่อมารับบุตรที่จ้างให้อุ้มท้องไปเลี้ยง หรือตัวแม่ที่รับจ้างอุ้มท้องกลัวความผิดได้หลบหน้าหนีหายไปจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เพราะปัญหาการขยายข่าวออกไปจะเป็นปัญหา เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ทั้งหมดมีผลกระทบต่อผู้หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญและชาวต่างชาติที่ต้องการมีบุตรไว้ดูแลจริง ชาวต่างชาติที่อยากมีบุตรก็คาดหวังกับการอุ้มบุญคลอดเป็นเด็กออกมาเพื่อไปเลี้ยงในต่างประเทศ พอมีข่าวทำให้ตื่นตระหนก เป็นเรื่องหน่วยงานเกี่ยวข้องจะต้องคิดหาวิธีการป้องกันและมาตรการควบคุม ไม่ใช่ตำรวจที่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวน
...
สำหรับความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญ พันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ...ที่ผ่านการเห็นชอบจากคสช.แล้วนั้น นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รักษาการปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประสานมายังตนโดยได้แจ้งว่า ได้ไปพูดคุยกับ กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ของไทยมาแล้ว จึงอยากจะขอหารือ คสช.ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. ว่าช่วงนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง ก่อนที่ สนช.จะมีการพิจารณากฎหมายอุ้มบุญแล้วเสร็จ ซึ่งตนแจ้งไปว่าอาจต้องใช้เวลาถึงปีในการพิจารณากฎหมาย ทั้งนี้ในขั้นต้นตนจะได้สอบถามไปยังออสเตรเลียว่ามีประเด็นอะไรที่อยากหารือบ้าง เพื่อนำมาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน หลังจากนั้นจะเชิญออสเตรเลียมาพูดคุยร่วมกัน ซึ่งคงจะเริ่มจากออสเตรเลียก่อน และจะพูดคุยประเทศอื่นๆแสดงเจตจำนงมาร่วมกันอีกครั้ง
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เปิดเผยถึงกรณีเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประสานผ่านกระทรวงยุติธรรมขอหารือเรื่องร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ว่าให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมประสานขอรับทราบแนวทางเบื้องต้น โดยตนจะพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกฤษฎีกา และทีมกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาสัปดาห์นี้จะได้ข้อสรุป แต่ทั้งนี้ ตนต้องนำเรียนหัวหน้า คสช.ก่อน เพราะเป็นเรื่องระหว่างประเทศ จากนั้นถ้าเป็นไปได้จะเชิญประเทศต่างๆที่สนใจเรื่องนี้มาพูดคุยพร้อมกันเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย ก่อนที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของ คสช.หรือรัฐบาล โดยคำนึงถึงมนุษยธรรม ความเท่าเทียม โดยจะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยที่ทุกประเทศต้องอยู่บนกฎหมายเดียวกันทั้งหมด เด็กได้รับการดูแลจาก พ่อแม่ที่มีความตั้งใจจริงๆ
...
อย่างไรก็ดี ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายฮิเดกิ อิเกบะ ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารรายสัปดาห์ ชินโช สื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังของญี่ปุ่น เดินทางมายัง สนง.นสพ.ไทยรัฐ เพื่อประสานข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างอุ้มบุญของนายมิตซูโตกิ ชิเกตะ โดยระบุว่า ขณะนี้ในญี่ปุ่นให้ความสนใจข่าวนี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากหนุ่มญี่ปุ่นรายนี้เป็นทายาทคนโตของมหาเศรษฐีคนดังในญี่ปุ่น ที่บิดาไว้วางใจเปิดบริษัทใหม่ให้ดูแลแล้ว ด้วยบุคลิกของนายมิตซูโตกิยังเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทำให้มีการตั้งข้อสงสัยว่าหนุ่มวัย 24 ปีรายนี้จะต้องการมีลูกไปทำไมมากมาย แต่ก็มีกระแสข่าวว่า นายมิตซูโตกิเคยพูดทีเล่นทีจริงกับคนใกล้ชิดว่าสนใจอยากเล่นการเมือง จึงอยากให้ลูกๆเป็นฐานเสียงในอนาคต ขณะที่ในญี่ปุ่นเองมีกฎหมายห้ามบุคคลอื่นอุ้มท้องแทน หรือแม้แต่การใช้น้ำเชื้อหรือไข่จากบุคคลอื่นอย่างเด็ดขาด ทำให้คนญี่ปุ่นที่ไม่สามารถมีลูกได้เอง แต่ต้องการมีลูกจะต้องเดินทางมาหาน้ำเชื้อหรือไข่บุคคลอื่น เพื่อทำกิฟต์ในต่างประเทศแล้วนำตัวอ่อนฝังกลับในมดลูกของแม่ก่อนกลับไปคลอดที่ญี่ปุ่น สื่อในญี่ปุ่นจึงให้ความสนใจกรณีนี้มากว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และนายมิตซูโตกิจะกลับมาให้ข้อมูลกับตำรวจไทยหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่มีการตั้งข้อหาใดๆทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์สำนักข่าวแจแปนไทม์ส ของญี่ปุ่น ก็รายงานว่ากรณีชายชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่านายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ชาวญี่ปุ่น วัย 24 ปี ที่เป็นพ่ออุ้มบุญของเด็กทารกกว่า 20 คนในไทย ยังคงเป็นปริศนา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไทยยังขาดหลักฐานที่จะดำเนินคดีทางอาญากับชายผู้นี้ และต่อมานางมาเรียม คูคูนาชวิลลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งนิว ไลฟ์ โกลบอล เน็ตเวิร์ก เครือข่ายรับว่าจ้างติดต่อแม่อุ้มบุญในประเทศจอร์เจีย ยูเครน อินเดีย อิสราเอล โปแลนด์ และไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ได้แนะนำแม่อุ้มบุญให้กับชายคนนี้ไป 2 คน เมื่อปีที่แล้ว ทั้งสองคนคลอดลูกให้ชายคนนี้ทั้งหมด 3 คน เป็นฝาแฝดหนึ่งคู่ หลังจากนั้นทางบริษัทเพิ่งรู้ข่าวว่าเขาพยายามมีลูกอีก 3 คนจากบริษัทรับปรึกษาให้ผู้มีบุตรยากแห่งอื่นอีก ชายคนนี้ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ให้ช่วยหาแม่อุ้มบุญเพิ่ม เพราะเขาตั้งใจจะมีลูกให้ได้ 10-15 คนต่อปี และวางแผนจะมีลูกทั้งหมด 100-1,000 คน โดยให้เหตุผลว่าการทิ้งทายาทเหลือไว้คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำให้กับโลกใบนี้ได้ แต่ทางบริษัทปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่าน่าสงสัย
...
จากนั้นในเดือนสิงหาคม นางมาเรียมส่งอีเมลหาชายชาวญี่ปุ่นเพื่อพูดคุยถึงข้อสงสัยนี้ แต่ได้รับการตอบกลับจากทนายความว่า ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้มีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายที่จะมีลูกกี่คนก็ได้ เธอจึงได้รายงานเรื่องนี้ไปยังสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศจอร์เจีย รวมถึงตำรวจสากลด้วย ซึ่งก็ได้รับข้อมูลว่าชายคนนี้มีพาสปอร์ตของ 10 ประเทศ ทั้งญี่ปุ่น กัมพูชา และจีน เป็นต้น
นอกจากนี้ มีรายงานจากสื่อในญี่ปุ่นว่า นายมิตซูโตกิได้เดินทางจากโอซากา ประเทศญี่ปุ่น มาไทยในค่ำวันที่ 17 ส.ค.นี้ เพื่อเข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญกับตำรวจ ตามที่ทนายความคนไทยเคยแจ้งไว้