คดีแย่งกันถือสิทธิ์ เหนือตัวปราสาทพระวิหาร ได้สร้างรอยร้าวให้กับ 2 ประเทศเป็นเวลากว่า 51 ปี แบ่งได้ถึง 3 ยุค ยุคแรกเริ่มขึ้นเมื่อปี 2505 ที่ศาลโลกมีคำตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ประเด็นสำคัญที่ทำให้ไทยเสียปราสาท คือศาลโลกใช้หลักกฎหมายปิดปาก โดยให้เหตุผลว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีข้อพิพาทระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ทั้ง 2 ประเทศตกลงทำแผนที่ร่วมกัน ในแผนที่ฝรั่งเศสได้ขีดเส้นกั้นดินแดน ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในครอบครองของประเทศราชแห่งตน โดยครั้งนั้นรัฐบาลสยามก็ไม่ได้ประท้วงแผนที่ ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา พุทธศักราช 2447 และพุทธศักราช 2450 ผิดกับตรรกะ ที่แบ่งเขตแดนตามหลักสากลทั่วไป โดยไม่สนว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตแบ่งสันปันน้ำฝั่งไทย
หลังจากนั้นกัมพูชาเริ่มเข้าสู่ยุคสงครามภายในประเทศ ของการสู้รบสงครามเขมรแดง ในปี 2518 โดยเขมรแดงใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่มั่น เพราะภูมิประเทศที่อยู่สูง เหมาะแก่การโจมตีศัตรู จึงใช้เป็นยุทธศาสตร์สู้รบกับฝ่ายตรงข้าม กว่าสงครามจะสงบก็ใช้เวลาหลายปี ส่งผลให้ปราสาทพระวิหารทรุดโทรมลงไปมาก จากกระสุนปืนและระเบิด
...
ด้วยนโยบายที่เปลี่ยนจากสนามรบเป็นสนามการค้า เปลี่ยนมิติด้านสงครามสู่สันติภาพ โดยใช้ความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและความกลมกลืนทางวัฒนธรรมตามแนวชายแดน เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้ความตึงเครียดตามแนวชายแดนผ่อนคลาย ประชาชนไปมาหาสู่กันได้ง่ายขึ้น เศรษฐกิจชายแดนก็ดีขึ้นตามลำดับ
แต่ความสงบสุขนั้นก็มีระยะเวลาเพียง 19 ปี ก็ก้าวเข้าสู่ยุคที่สามของปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อกัมพูชาได้เสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ในปี 2550 ทำให้ประเทศไทยออกมาคัดค้าน เพราะพื้นที่แห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ทับซ้อน และไม่แน่ใจว่าการขึ้นมรดกโลกของตัวปราสาทในครั้งนี้จะกินอาณาบริเวณใดบ้าง ทำให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย จนเกิดศึกสงครามที่รุนแรงอีกครั้งในปี 2554 และนำมาสู่การตัดสินคดีปราสาทพระวิหารอีกครั้ง ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ปราสาทพระวิหารเหมือนต้องมนต์ให้อยู่ในม่านหมอกแห่งศึกสงคราม เพราะตลอดระยะเวลากว่ากึ่งทศวรรษ เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงบนความขัดแย้งขึ้นบ่อยครั้ง จนทำให้ดินแดนแห่งนี้ไม่ห่างหายไปจากเสียงปืน และกลิ่นสงคราม ถึงแม้ว่าศาลโลกจะตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่รอยร้าวที่ยังฝังลึกของทั้ง 2 ประเทศ คงจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าปัญหานี้จะคลี่คลาย