เสียงปืน เสียงระเบิด ดังอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างกลัว แตกตื่น ไม่รู้จะวิ่งหลบไปทางไหน อยากออกให้พ้นจากมหาวิทยาลัย แต่แกนนำบนเวทีประกาศให้อยู่ข้างใน รอสถานการณ์สงบ รอคอยความช่วยเหลือที่ไม่รู้อีกนานเท่าไรจะมาถึง พอหลับตาลง นึกว่าตัวเองอยู่ในสนามรบ ไม่ใช่ในรั้วของรามคำแหง สถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติแห่งหนึ่งของประเทศไทย...

ข้างต้นเป็นความรู้สึกเท่าที่ประมวลได้จากนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงบางส่วนที่อยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงมหาวิทยาลัยรามคำแหง เย็นวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงบ่ายวันที่ 1 ธ.ค. 2556 ซึ่งแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นอดีตสงบลงไปแล้ว แต่เชื่อว่า ไม่มีทางลบออกไปจากความทรงจำของหลายคนได้ง่ายๆ

ต่อจากนี้ จะเป็นการประมวลเหตุการณ์ และการบอกเล่าบรรยากาศจากหลายเสียงที่ระบุว่า ได้สัมผัสเหตุการณ์มาด้วยตัวเอง 

การตัดสินใจที่ผิดพลาด?

เมื่อมวลชนคนเสื้อแดงใช้สนามราชมังคลากีฬาสถานเป็นเวทีชุมนุมใหญ่ นัดผู้ชุมนุมให้มารวมตัวกันก็เกิดกระแสความไม่พอใจของนักศึกษารามฯ บางส่วนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกัน เพราะเห็นว่าที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช.อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกินไป จึงเปิดเวทีและจัดชุมนุมภายในมหาวิทยาลัยฯ

จุดชนวนของเหตุการณ์ว่ากันว่า น่าจะเริ่มต้นจากความไม่พอใจของ นศ.รามฯ ที่ถูกทำลายป้ายคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มูลเหตุของเรื่องเกิดจากการที่กลุ่ม นศ.รามฯ อ้างว่าที่ต้องรวมตัวกันนั้น เพราะมีนักศึกษาถูกดักทำร้ายก่อน และยังมีการตัดทำลายป้ายอีกด้วย จุดนี้จึงเป็นปมที่ทำให้เกิดความคับแค้น นำมาซึ่งการยุแหย่ด้วยวาจา กระทบกระทั่งกันตลอดทั้งวัน เหตุการณ์เหมือนจะหยุดอยู่แค่นี้ จนกระทั่งรถแท็กซี่ที่มีคนเสื้อแดงนั่งโดยสารอยู่ ขับเข้ามาบริเวณกลุ่มผู้ชุมนุมรามฯ ห้วงเวลานั้นทุกคนกำลังขาดสติ จึงลุกฮือเข้าปิดล้อมรถทันที ก่อนจะทำการปิดถนนรามคำแหงทั้ง 2 ฝั่ง และรวมตัวกันที่ ซ.รามคำแหง 53 เพื่อออกล่าคนที่ใส่เสื้อสีแดง

...

เมื่อนศ.เห็นรถแท็กซี่ มีคนเสื้อแดงนั่งอยู่ข้างในขับผ่าน ความโกรธที่คุกรุ่นอยู่แล้ว กลายเป็นไฟปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนกรูไปรุมล้อมรถและเริ่มทุบตีอย่างบ้าคลั่ง

จากนั้นการปะทะเริ่มกระจายเป็นวงกว้าง มีการปิดถนน ใครใส่เสื้อแดงก็จะถูกทำร้าย ทั้งทำลายรถ และปาประทัดใส่ เสียงปืนดังขึ้นประปราย เกิดการยิงสวนกันออกมาจากทั้ง 2 ฝ่าย จนหัวค่ำเหตุการณ์รุนแรงขึ้น แกนนำเสื้อแดงประกาศให้ทุกคนเข้ามาในสนามและหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ก็ไม่เป็นผล ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากที่อยู่บริเวณภายนอก วิ่งเข้าปะทะกับกลุ่มนักศึกษา

ช่วงนั้นน่ากลัวมาก เสียงปืน เสียงระเบิด ดังขึ้นต่อเนื่อง ทุกคนต่างกลัว แตกตื่น ไม่รู้จะวิ่งหลบไปทางไหน อยากออกให้พ้นจากมหาวิทยาลัย แต่แกนนำบนเวทีประกาศให้อยู่ข้างใน รอสถานการณ์สงบก่อน

การปะทะอย่างดุเดือดนี้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ช่วงแรกจะมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่ดูแลความปลอดภัย แต่ต่อมาก็ล้มเหลวในการควบคุมสถานการณ์ ค่อยๆ ล่าถอยออกจนหายไปในที่สุด กระทั่งความรุนแรงถึงขีดสุด พบนักศึกษารามถูกยิงเป็นรายแรก

โศกนาฏกรรมเริ่มต้นขึ้น!

หลังจากนำผู้บาดเจ็บส่งตัวให้แพทย์ ไม่นานทางโรงพยาบาลรามคำแหง ก็ออกมายืนยันว่า มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อ คือ นายทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง วัย 21 ปี สาเหตุการตาย เพราะถูกยิงเข้าที่ชายโครงข้างซ้าย จำนวน 2 นัด เมื่อโรงพยาบาลยืนยันการเสียชีวิตแล้ว บรรดานักศึกษารามคำแหงได้ร่วมกันยืนไว้อาลัยให้เพื่อนที่จากไป บรรยากาศเป็นไปด้วยความสลดและหวั่นเกรงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ฝั่งผู้ชุมนุมเสื้อแดง แกนนำควบคุมฝูงชนได้แล้ว และสั่งให้ทุกคนปักหลักอยู่ภายในสนามราชมังฯ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นอีก

พอรู้ว่ามีคนตาย ทุกคนเลยยิ่งหวาดกลัว นักศึกษาที่ติดอยู่ข้างใน มหาลัยมีเกือบสามพันคน อธิการบดีเลยประกาศให้พักค้างคืนในอาคารเรียน และขอให้ทุกคนดูแลกันและกัน เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่

ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง สั่งเปิดพื้นที่อาคารเรียน เพื่อให้นักศึกษานอนพักค้างคืน รวมทั้งสั่งห้ามออกนอกมหาวิทยาลัยเพื่อความปลอดภัยของทุกคน จากนั้นประสานไปทาง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เร่งคลี่คลายสถานการณ์

ค่ำคืนแห่งความสับสนนั้น นักศึกษายังคงรวมตัวนั่งฟังปราศรัยจากแกนนำบนเวที ซึ่งมีการควบคุมตัวผู้ที่ต้องสงสัยเข้ามาก่อกวนได้เป็นระยะ ระหว่างนั้นก็มีเฮลิคอปเตอร์คอยบินวนเหนือมหาวิทยาลัยตลอดทั้งคืน ต่อมามีผู้บุกรุกเข้ามาจากประตูด้านหลัง สาดกระสุนเข้าใส่การ์ดอาสาซึ่งล้วนเป็นนักศึกษาทั้งสิ้น

คืนนั้นเรานอนในอาคาร รอคอยความช่วยเหลือที่ไม่รู้อีกนานเท่าไรจะมาถึง พอหลับตาลง นึกว่าตัวเองอยู่ในสนามรบ ไม่ใช่ในรั้วของรามคำแหง สถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติแห่งหนึ่งในประเทศไทย

กระทั่งเช้าวันที่ 1 ธ.ค.สถานการณ์ที่ยังไม่คลี่คลาย ได้กลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง นักศึกษาที่มารวมตัวกันเตรียมออกจากมหาวิทยาลัย เป็นอันต้องกระจัดกระจายหนีเอาชีวิตรอด บ้างก็นอนหมอบนิ่งอยู่ที่พื้นตามเสียงของแกนนำ บ้างก็วิ่งหลบเข้าที่กำบังกันจ้าละหวั่น เพราะเสียงปืนและระเบิดระลอกใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว และคราวนี้เหมือนจะรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะปรากฏกลุ่มชายคอยยิงสกัดคนที่พยายามจะออกนอกรั้วมหาวิทยาลัย และสกัดรถพยาบาล ไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือคนบาดเจ็บภายในมหาวิทยาลัย

สิ้นสุดด้วยความสูญเสีย

ขณะที่ในรั้วรามคำแหง เกิดเหตุการณ์เศร้าสลด ทางฝั่งของนปช.ก็วุ่นวายไม่แพ้กัน การ์ดของ นปช.ซึ่งถูกคนร้ายไม่ทราบฝ่ายยิงจากสะพานด้านหลังสนามราชมังฯ ถูกประกาศเป็นผู้เสียชีวิตเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดเกินกว่าจะควบคุม แกนนำนปช.จึงประกาศยุติการชุมนุม โดยระบุว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องที่สูญเสียมากพอแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีก และเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลในการรับมือสถานการณ์ จึงตัดสินใจยุติการชุมนุมชั่วคราว ขอให้พี่น้องเสื้อแดงเดินทางกลับไปภูมิลำเนา

ขณะที่ภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจากเฝ้ารอความช่วยเหลือมาทั้งคืน สัญญาณแรกที่ช่วยจุดประกายความหวังให้ฝูงชนในรามคำแหง คือข้าวกล่องและน้ำที่ทยอยส่งเข้ามาให้ จากนั้นก็มีการบอกต่อกันว่าจะมีทหารเข้ามาช่วยทุกคนออกไป เมื่อรถทหารชุดแรกจำนวน 1 กองร้อย จากกรมทหารราบที่ 11 รอ. เคลื่อนมาถึงเขตรามคำแหง ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ ขณะที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ตรงเข้าไปคุยกับอธิการบดี ทหารที่เหลือก็จัดตั้งแถวอยู่ที่ตึกอธิการ ส่วนหนึ่งตั้งแถวเป็นแนวยาวที่หน้าประตูรั้วรามคำแหง เพื่อเป็นกำบังให้กับนักศึกษาออกจากประตู กลับไปหาคนทางบ้าน ที่รอคอยการกลับมาอย่างลุ้นระทึก

ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้งพยานหลักฐาน หรือลำดับเหตุการณ์ ต่างพุ่งตรงไปในประเด็นว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุ มีจุดประสงค์ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น ผลสรุปของการนองเลือดนี้จึงแลกมาด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

...

นศ.รามคำแหงส่วนใหญ่มารวมตัวกันด้วยความรักต่อสถาบัน ไม่ได้ต้องการให้เกิดเหตุนองเลือด สิ่งที่เราอยากได้ขณะนี้คือความจริงที่เกิดขึ้น