โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชา วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่บ้านสามหลัง จ.ตราด ส่งผลให้ ทหารไทยเสียขาเพิ่มอีกเป็นรายที่ 8 ของปีนี้ เล็งฟ้องประชาคมโลก

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์ กำลังพล สังกัด กองร้อยทหารช่าง หน่วยเฉพาะกิจ นาวิกโยธิน กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี และตราดเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่บ้านสามหลัง ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา โดยหลังจาก กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้เข้าควบคุมและตรวจสอบพื้นที่ บ้านหนองรี และ บ้านท่าเส้น จ.ตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชา เคยเข้ายึดครอง และใช้เป็นฐานที่มั่นทางทหาร ได้ตรวจพบวัตถุพยานจำนวนมากที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อันแสดงถึงการวางแผนและการกระทำโดยเจตนาในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และระเบิดแสวงเครื่อง ได้แก่ การตรวจพบแผนผังแสดงตำแหน่งการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดดัดแปลง ในพื้นที่บ้านหนองรี

พ.อ.ศิวะ กล่าวอีกว่า ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อประสงค์ต่อชีวิตทหารไทย พร้อมทั้งตรวจพบคลังอาวุธและทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบดัดแปลงจำนวนมาก ในพื้นที่บ้านท่าเส้น (กาสิโนทมอดา) ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการที่ฝ่ายทหารกัมพูชาได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ โดยมีการครอบครองและการใช้อาวุธต้องห้ามดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม การกระทำดังกล่าวส่งผลให้กำลังพลทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นรายที่ 8 เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และคุกคามต่อชีวิตมนุษย์โดยไม่เลือกเป้าหมาย ทั้งต่อทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอยืนยันว่า การใช้ การวาง และการคงไว้ซึ่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในลักษณะดังกล่าวของกัมพูชา เป็นการฝ่าฝืนและละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน และเป็นพฤติการณ์ที่ไม่อาจยอมรับได้ในประชาคมระหว่างประเทศ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการทุกกรอบการประชุม โดยเฉพาะรวมถึงการแจ้งต่อประชาคมระหว่างประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รับทราบถึงการละเมิดอย่างต่อเนื่อง แสดงออกถึงความไม่จริงใจร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสอง และเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำไปสู่การสร้างสันติภาพในภูมิภาค รวมทั้งเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อทุกประเด็นที่กัมพูชาเคยให้คำมั่นต่อประชาคมโลกในทุกกรอบเวทีประชุมต่าง ๆ ที่ผ่านมา

...