“สถาบันวิทยาลัยชุมชน” หรือ ส.วชช. ถือเป็นหนึ่งในสถาบันอุดมศึกษาที่มีความโดดเด่นและถูกพูดถึงมากในเวลานี้

นับตั้งแต่จัดตั้งตามนโยบายรัฐบาลในปี พ.ศ. 2545 เกือบ 24 ปี วันนี้ ส.วชช. มีวิทยาลัยชุมชน (วชช.) ถึง 20 แห่ง ใน 21 จังหวัด ทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดชายแดนและประชาชนยากจน 16 แห่งที่ไม่มีมหาวิทยาลัย อาจเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งเดียวที่ประกาศจุดยืน วิสัยทัศน์ คือ “ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสรรค์ปัญญาที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน”

ดร.สิริกร มณีรินทร์ นายกสภาสถาบันวิทยาลัยชุมชนได้ฉายภาพผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2568 ให้เห็นว่า ตามแผนพัฒนาความเป็นเลิศสถาบัน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) ซึ่งวางเป้าหมาย 3 ข้อ ได้แก่ 1. การสร้างและพัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 2. สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศตามแนวทาง Value-based economy และ 3. ปฏิรูประบบบริหารจัดการ เป้าหมายที่ 1 และ 2 ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือเป้าหมาย 1 และ 2 มีตัวชี้วัด 45 ตัว บรรลุตัวชี้วัด 41 ตัว ในขณะที่เป้าหมายที่ 3 อาจทำได้ยากที่สุดด้วยความเป็นส่วนราชการ มี 26 ตัวชี้วัด บรรลุเป้าหมาย 14 ตัวชี้วัด ปัจจุบัน ส.วชช. เปิดสอนหลักสูตรอนุปริญญารวมทั้งสิ้น 32 หลักสูตร ในภาวะที่พฤติกรรมการเรียนรู้ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป สถาบันปรับตัวโดยพัฒนาหลักสูตรอนุปริญญาที่ทันสมัยตามวงรอบหลักสูตร เป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ ผู้เรียนสามารถต่อยอดปริญญาตรีกับมหาวิทยาลัยที่มีข้อตกลงกัน ที่สำคัญสามารถเรียนตลอดหลักสูตรด้วยเงินจำนวน 6-7,000 บาท ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท นอกจากนั้นมี ปวช. 14 หลักสูตร ปวส. 9 หลักสูตร

หลักสูตรใหม่ล่าสุดที่ตอบสนองต่อความต้องการของพื้นที่และได้รับการตอบรับดีมาก เช่น สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมของ วชช.แพร่, การแพทย์แผนไทยของ วชช.ตาก ซึ่งบางคนเดินทางไกลจากกรุงเทพฯ เพื่อไปเรียนสาขาวิชานี้โดยเฉพาะ, การจัดการอุตสาหกรรม ของ วชช.สมุทรสาคร, การจัดการโลจิสติกส์ ของ วชช.มุกดาหาร หลักสูตรอนุปริญญาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดยังคงเป็นปฐมวัย, ปกครองท้องถิ่น, การจัดการและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ หลักสูตรสาขาที่กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น คือ สาธารณสุขชุมชน ซึ่งเปิดสอนใน วชช. 10 แห่ง และมีนักศึกษาในระบบ ถึง 3,422 คน สิ่งที่สถาบันยึดมั่นคือการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานอุดมศึกษา และผ่านการประเมินคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) แล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2566 และมีระบบประกันคุณภาพภายในเข้มข้นทั้ง EDPex/AUNQA ผู้สำเร็จการศึกษามีอัตราการได้งานทำสูงถึงร้อยละ 99.10

ในภาวะเด็กเกิดน้อยลง ในปีการศึกษา 2568 นี้ วชช. มีผู้เรียนเข้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3% จากปีก่อน ปัจจุบันมีผู้เรียนเข้าใหม่ 12,296 คน ใน วชช. 20 แห่ง ทั้งระบบมีนักศึกษารวมแล้วจำนวน 19,368 คน โดย วชช. ในจังหวัดชายแดนใต้ 5 แห่งมีนักศึกษาเข้าเรียนสูงกว่าภาคอื่น

สถิติปัจจุบันพบว่าลักษณะของผู้เรียน วชช. แตกต่างจากอดีต นักศึกษามีอายุเฉลี่ยน้อยลง โดยมีอายุอยู่ระหว่าง 16-77 ปี ช่วงอายุ 18-25 ปี มีจำนวนมากที่สุด ในขณะที่ในอดีตอายุเฉลี่ยคือ 31 ปี จบจากโรงเรียนสายสามัญ โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ต่างจากอดีตมักเป็นนักศึกษาจากการศึกษานอกระบบ (กศน.) ส่วนใหญ่เป็นผู้มีงานทำอยู่แล้ว หลักสูตรอีกประเภทที่จัดมาตลอด คือหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพแบบ Non-credit ซึ่งมีผู้เรียนเพื่อ upskill, reskill ถึง 11,857 คน และยังดำเนินโครงการบริการทางวิชาการที่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนด้านการประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อาหาร ผ้าทอ ผ้าย้อม สมุนไพร ฯลฯ มีถึง 56,513 คน

ในปี 2568 ส.วชช. ได้ผลักดันโครงการใหม่หลายเรื่อง อาทิ 1. เพิ่มโอกาสเข้าถึงการศึกษา "ขยายพื้นที่บริการ" ด้วยมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ จากที่เคยจำกัดอยู่ในจังหวัดที่ตั้ง สถาบันได้จัดตั้งหน่วยจัดการศึกษาและสถานที่จัดการเรียนการสอนเพิ่มขึ้นใน 24 จังหวัด โดยมุ่งเน้นพื้นที่ในจังหวัดข้างเคียงที่ไม่มีสถาบันอุดมศึกษาตั้งอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการฝึกทักษะวิชาชีพ ซึ่งในภาคการศึกษาที่ 1/68 มีการเปิดรับนักศึกษาหลักสูตรอนุปริญญานอกพื้นที่รวม 453 คน วชช.พิจิตร เปิดที่ จ.พิษณุโลก และ จ.เพชรบูรณ์, วชช.มุกดาหาร เปิดที่ จ.นครพนม, วชช.สระแก้ว เปิดที่ จ.ปราจีนบุรี, วชช.สมุทรสาคร เปิดที่ค่ายนายสิบ จ.ประจวบคีรีขันธ์, วชช.ยโสธร เปิดที่ จ.ร้อยเอ็ด, วชช.แพร่ เปิดที่ จ.ลำปาง และ จ.อุตรดิตถ์, วชช.สงขลา เปิดที่ จ.พัทลุง และยังมี วชช. อื่นๆ ที่อยู่ระหว่างเตรียมการเปิดหน่วยจัดลักษณะเดียวกันทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ค่ายทหาร เรือนจำ เป็นต้น

2. ขับเคลื่อน Digital Community College เต็มกำลังเป็นสถาบันการศึกษาที่ลดช่องว่างดิจิทัลแก่ชุมชนชายขอบ สถาบันสร้างความพร้อมให้นักศึกษาและชุมชนใช้ AI เพื่อสร้างโอกาสใหม่ สถาบันได้อบรมการใช้งาน AI กับทุกภาคส่วน ทั้งคณาจารย์ บุคลากรสายงานบริหาร และสายงานวิชาการ วิจัยและกรรมการสภา ร่วม 600 คน และได้ออกประกาศสภาสถาบัน เรื่อง หลักการและแนวปฏิบัติการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ 29 สิงหาคม 2568 ประกาศเจตนารมณ์ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล เพื่อสร้างสรรค์ปัญญาและพลังการเรียนรู้ นำสู่ความเข้มแข็งของนักศึกษาและชุมชน

3. วิทยาลัยชุมชนสีเขียว ด้วยวิสัยทัศน์ ผู้นำด้านการศึกษาและนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนแปลงชุมชนอย่างยั่งยืน โดยในปี 2568 วชช. ทุกแห่งมุ่งพัฒนาเป็นต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สถาบันสนับสนุนให้ วชช. ติดแผงโซลาร์เกือบทุกแห่ง เน้นสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกวิทยาลัยเน้นสร้างความตระหนักสู่ความยั่งยืนโดยเชื่อมโยงทั้งการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและการลงมือปฏิบัติจริง

นอกจากนี้ วชช.ยังเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ดำเนินครบพันธกิจอุดมศึกษา ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2568 สถาบันได้พัฒนาทักษะนักวิจัยถึง 989 คน และได้รับทุนวิจัยรวม 24,972,500 บาท จากแหล่งทุนภายนอก ส่งผลให้ได้ทำงานกับ 65 เครือข่าย นักวิจัยมีทรัพย์สินทางปัญญา 17 เรื่อง ที่น่าประทับใจ คือ นายปริวัฒน์ ช่างคิด จาก วชช.ระนอง ได้ตีพิมพ์บทความเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ จากการทำงานร่วมกันกับนักวิจัยชาวญี่ปุ่น ที่สำคัญกว่านั้น ภารกิจของ ส.วชช. จึงมีความสอดคล้องกับเป้าหมายของ SDG ถึง 10 ประการ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง.