"โฆษกกระทรวงกลาโหม" สรุป "ทหารไทย" พลีชีพแล้ว 21 นาย ขณะที่ "กัมพูชา" ยังคงระดมยิง BM-21 กว่า 100 นัดใส่เป้าหมายพลเรือนในพื้นที่ จ.สระแก้ว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ธ.ค. 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชายังคงเปิดฉากระดมยิง BM-21 กว่า 100 นัดใส่เป้าหมายพลเรือนในพื้นที่ จ.สระแก้ว โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ทำให้เกิดเพลิงไหม้เสียหายกว่าหนึ่งพันไร่ ฝ่ายไทยจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง สรุปจำนวนทหารไทยมีเสียชีวิตจากการปะทะจำนวน 20 นาย อีก 1 นายเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ภารกิจ รวมเสียชีวิต 21 นาย
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า อัปเดตสถานการณ์ในภาพรวมยังคงมีการโจมตีฝ่ายกัมพูชาในทุกพื้นที่ มีหนักเบา โดยฝ่ายไทยได้ควบคุมพื้นที่ได้หลายจุด และสถาปนาความมั่นคง เพื่อป้องกันการตีโต้ตอบจากฝ่ายกัมพูชา จ.อุบลราชธานี ช่องอานม้า ซัมแต จ.สุรินทร์ ช่องจอม ช่องเปลอ ช่องระยี ปราสาทคนา แต่ยังมีความพยายามโจมตีเข้ามาของฝ่ายกัมพูชาเพื่อช่วงชิงพื้นที่ แต่พื้นที่นี้ฝ่ายไทยยังได้เปรียบอยู่
สำหรับพื้นที่ที่มีการรบอย่างหนักหน่วง ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่มียุทธภูมิสำคัญ ก็คือเนิน 350 ซึ่งปัจจุบันมีทหารพลีชีพจำนวนมาก และมี 2 นาย ที่ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ยังอยู่ในความพยายาม และกัมพูชายังรุกคืบโจมตีอย่างหนัก
พ.อ.ริชฌา กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 กองกำลังบูรพา จุดหลักที่เราพยายามผลักดันการรุกล้ำอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชามีอยู่ 3 จุด บ้านคลองแผง บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านหนองจาน ซึ่งสถานการณ์ทั้งไทยและกัมพูชาพยายามควบคุมพื้นที่แต่ด้วยสภาพพื้นที่ราบและมีชุมชน การใช้กำลังในจุดนั้น เรียกว่าระดมยิงด้วยอาวุธวิถีโค้งทั้งปืนใหญ่และจรวดเข้าหากัน เพื่อช่วงชิงพื้นที่ แต่สิ่งที่พบมีการใช้ BM-21 ยิงใส่พื้นที่เกษตร และพื้นที่พลเรือนหลายร้อยลูก ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เราจะต้องตอบโต้แน่นอน ซึ่งถือเป็นพื้นที่หนึ่งเรากำลังช่วงชิง
...
สำหรับในบางจุดมีสถานการณ์หนัก เบา สลับไปมา แต่ถ้าเป็นพื้นที่ช่วงชิง จะหนักหน่วงเหมือนเดิม ฝ่ายไทยต้องยับยั้งการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่รุกเข้ามายึดคืนแผ่นดินไทย ควบคู่รุกยึดคืนพื้นที่อธิปไตยไทย และทำลายอาวุธยิงสนับสนุนรวมถึงที่ตั้งทางทหารที่เพ่งเล็งเป้ามาที่ประชาชนคนไทย ที่ได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น กองทัพบกยืนยัน ว่าเราจะโจมตีกัมพูชาให้สิ้นสภาพทางทหารไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อพี่น้องประชาชนไปมากกว่านี้
ร.ท.หญิงนภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงสถานการณ์ บ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี จ.ตราด ภายหลังยึดคืนพื้นที่ได้ ซึ่งจากสถานการณ์ เมื่อวานนี้ ว่า กปจ.ชต. ได้ลงพื้นที่ควบคุมพื้นที่ที่หมาย ตรวจค้นพื้นที่ พบคลังทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งดัดแปลงมาจากทุ่นระเบิดดักรถถัง จำนวน 16 ลูก และอีกหลายลูกบริเวณโดยรอบการกระทำครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงการจงใจสร้างอันตรายแบบไม่ระบุเป้าหมาย
ทั้งนี้ กองทัพเรือขอย้ำว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและขัดต่อพันธกิจระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาออตตาวา กองทัพไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยประชาชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการจับกุม ชาวกัมพูชา สร้างสถานการณ์ก่อกวนบนถนนในพื้นที่ จ.ชลบุรี ว่า ในลักษณะยั่วยุให้ประชาชนไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกัน มีการแสดงอาวุธ ทั้งวัตถุระเบิด ตำรวจภูธรชลบุรี ทราบตัวผู้กระทำความผิด เบื้องต้นประมาณ 10 คน จับกุมได้ 3 คน เป็นชาวสัญชาติกัมพูชาทั้งสิ้น มีการแจ้งข้อหา มีใช้วัตถุระเบิด โดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรก่อความเดือดร้อนรำคาญ
สำหรับโทษหนักสุด คือการใช้วัตถุระเบิด โทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี ซึ่งชายกัมพูชาทั้ง 3 ราย ต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองกระทำ และถูกดำเนินการตามกฎหมายไทยจนถึงที่สุด หลังจากพ้นโทษ จะผลักดันออกนอกประเทศ และขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ให้เข้าประเทศไทย ในส่วนผู้กระทำความผิดที่เหลืออีก 7 คน ให้มามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็ว เพราะเราทราบตัวหมดแล้ว และมีการจับกุมต่อไป ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนหยัดรักษาความสงบเรียบร้อย บังคับใช้กฎหมายเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่ากระทรวงการต่างประเทศยังติดตามสถานการณ์คนไทยที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่ปอยเปต กัมพูชาอย่างใกล้ชิด ยืนยันความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้เดินทางกลับประเทศไทยทางอากาศ ปัจจุบันมีเที่ยวบินเพียงพอ และหากจำเป็นสามารถจัดหาเพิ่มเติมได้ทันที ส่วนเอกสารการเดินทางไม่เป็นอุปสรรค ผู้ที่เอกสารไม่ครบสามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่ เพื่อขอออกเอกสารเดินทางฉุกเฉินได้ โดยขอให้ลงทะเบียนและติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ที่กระทรวงได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังทางการกัมพูชาประกาศระงับการเดินทางข้ามแดนทางบกตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งครอบคลุมทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.) รมว.ต่างประเทศ ได้มีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อชี้แจงจุดยืนของไทย และกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำให้คนไทยที่ตกค้างติดต่อสถานทูตโดยตรง เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน.