ศรชล. ชี้หลังนโยบายขู่ "เรือไทย" แปลงสัญชาติขนน้ำมันเข้า "กัมพูชา" ออกมา สถิติต่างๆ มีแนวโน้มลดลง พร้อมเผยเรือ 2 ลำให้ความร่วมมือเข้าแจงแล้ว
วันที่ 17 ธ.ค. 2568 พล.ร.ต.จุมพล นาคบัว โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) แถลงถึงกรณีสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติในการกำกับดูแลน่านน้ำ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าพลังงาน และยุทธภัณฑ์ไปยังประเทศกัมพูชา โดยมีการให้แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ
1. การยกระดับการเฝ้าระวังการเตือนภัยทางทะเล โดยเฉพาะการดำเนินกิจกรรมด้านการค้า การขนส่งด้านพลังงาน โดยจะมีการเฝ้าระวังและยกระดับในการจับตากลไกการขนถ่าย จากทางบกสู่ทะเลหรือทางทะเลสู่ทางบกแบบเป็นระบบ
2. การบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการกำกับดูแลน้ำมันในการส่งออกน้ำมัน และยุทธภัณฑ์ร่วมกันระหว่าง กรมประมง กรมศุลกากรกองทัพเรือ กรมสรรพสามิต และกรมเจ้าท่า ซึ่งการบูรณาการ จะใช้กฎหมายตามมาตรา 27 วรรคสอง ที่จะโฟกัสลงไปในส่วนของท่าเรือ 23 จังหวัดชายทะเลทั้งหมด ในการที่จะกระชับเรื่องของพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบลำเลียง หรือขนยุทธปัจจัยไปยังกัมพูชา
3. กรณีที่มีการดำเนินการขนส่งสินค้าพลังงานทางทะเล และยุทธภัณฑ์ที่ละเมิดต่อการปฏิบัติตามเงื่อนไขของเสรีภาพการเดินเรือโดยสุจริตของรัฐชายฝั่งของประเทศไทย รวมถึงมาตรการการควบคุมท่าเรือ ที่เรามีความจำเป็นจะต้องยกระดับหากตรวจพบเรือฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดมาตรการดังกล่าว ในการที่จะปฏิเสธหรือห้ามในการใช้ท่าเรือต่าง ๆ
4. การดำเนินการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ดำเนินกิจกรรมทางทะเล และการจำกัดวงของผู้ที่ดำเนินการการขนส่งการค้าทางทะเล ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขัดกันด้วยอาวุธ ระหว่างไทยกับกัมพูชาทางทะเล
...
ดังนั้นมีความจำเป็นที่ต้องประกาศกับแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อป้องกันให้เรือสินค้า, เรือประมง ที่ดำเนินการโดยสุจริตนั้น ตกเป็นเป้า หรือมีความเสี่ยงต่อประชาชนที่ดำเนินกิจกรรมในกำลังพลของเรือ และตัวเรือเอง
สำหรับทั้ง 4 มาตรการนี้ ศรชล. ขอยืนยันว่าเราดำเนินการตามอำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง และอธิปไตยที่สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล และเพื่อความปลอดภัยของผู้ดำเนินกิจกรรมทางทะเล
เมื่อถามว่าทั้ง 4 ด้านที่กล่าวมา จะมีรูปแบบอย่างไร พล.ร.ต.จุมพล กล่าวว่า การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ และผู้ประกอบการ ในเรื่องกลไกการบูรณาการการยกระดับการตรวจเรือในพื้นที่ของท่าเรือ โดยร่วมกับกรมเจ้าท่า กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต โดยเฉพาะยานพาหนะทางทะเล ที่ดำเนินกิจกรรมต้องสงสัย ในส่วนของเรือที่ไม่ได้ ปฏิบัติตนเป็นที่สงสัย หรือมีพฤติกรรมผิดปกติ หรือดำเนินการใดๆ ที่สนับสนุนเกี่ยวข้องกับมาตรการตามที่ได้ประกาศแจ้งเตือน ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ
แต่สำหรับผู้ที่ดำเนินการทั่วไปในส่วนของเรือ ขอความร่วมมือในการต้องปฏิบัติตามการแจ้งเตือน และหากตรวจพบเรือใดๆ ในทะเลที่มีพฤติกรรมผิดปกติ ให้แจ้งเตือน ศรชล. โดยการดำเนินการจะมีการตรวจท่าเรือทั้ง 23 จังหวัด และจะสุ่มตรวจเรือที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย เพราะฉะนั้นเรือที่เดินทางผ่านใกล้อาณาเขตพื้นที่ทางทะเลของกัมพูชา จะต้องแสดงตน ซึ่งการแสดงตนไปเป็นเรือสัญชาติอื่น หรือแสดงชื่อที่ผิดไปจากที่จดแจ้งไว้ในทะเบียนในระบบขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ถือเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดต่อเสรีภาพการผ่านโดยสุจริตของรัฐชายฝั่ง ซึ่งเรือที่มีพฤติกรรมผิดปกติต่างๆ จะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทั้งทางทะเลและท่าเรือ ผ่านกลไก ศรชล. ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการวางแผนในการดำเนินการ
ส่วนเรือ 2 ลําที่เป็นข่าว ได้มีการตรวจสอบและเชิญเข้ามาชี้แจง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการด้านพลังงานอย่างเป็นอย่างดี ปัจจุบันสถิติผู้ที่ดำเนินการเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชามีแนวโน้มลดลง และเรือที่มีทิศทางจากประเทศที่ขายพลังงาน ในช่องแคบมะละกา ทิศทางจากทะเลจีนใต้ที่เข้ากัมพูชามีแนวโน้มลดลง ยังเหลือเรือบางส่วน อยู่ระหว่างปฏิบัติตามมาตรการจะมีการกําหนดเพิ่มเติมต่อไป
ขณะที่การลักลอบขนน้ำมันเข้ากัมพูชา พบว่า มีผู้ประกอบการของไทยมีการรับน้ํามันจากต่างประเทศเข้าสู่กัมพูชา แต่หลังจากที่นโยบายของประเทศออกมา สถิติต่างๆ มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้หากพบเรือไทยลักลอบขนส่งน้ำมันให้กัมพูชา ถือเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายในการลักลอบและส่งออก ในกรณีที่กําหนดมาตรการตามมติ สมช. ที่ให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงพาณิชย์กําหนดรายละเอียดสินค้ายุทธภัณฑ์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องพลังงาน จะทําให้หน่วยปฏิบัติต่างๆ สามารถเอาผิดและนําไปสู่การลงโทษหน่วยงานภาครัฐตามกลไกของรัฐได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ ศรชล.ให้ความร่วมมือ คือเรือที่มีการขนน้ํามันลำเลียง ทั้งเดินทางผ่านหรือเข้าออกกัมพูชาและประเทศไทย ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายการแสดงตน และปฏิบัติตามมาตรการการแจ้งรายงานอย่างเคร่งครัด เมื่อมีการใช้เรือที่ไม่แสดงสัญชาติ หรือแสดงสัญชาติเป็นชาติอื่น ในการปฏิบัติการต่อเรือดังกล่าว ก็ถือว่า เข้าข่ายกฎหมายประเทศไทย ที่สามารถจะจับกุมและดําเนินการได้.