คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ทุกวันนี้โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกินคาดเดา โดยเฉพาะจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกปี ข้อมูลจากรายงานของ Global Electricity Review 2025 สถาบันวิจัยด้านพลังงานไฟฟ้าระดับโลก ระบุว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา พลังงานหมุนเวียนทั่วโลก มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 40% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดเป็นครั้งแรก นั่นถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างหนึ่งว่า โลกได้หันหน้าหาพลังงานสะอาดมากขึ้น
ในขณะเดียวกันกับที่ประเทศไทยเองก็เดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญด้านพลังงาน จากร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ หรือ PDP 2024 ที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถึง 51% ภายในปี 2037 ถือเป็นการก้าวกระโดดจากแผนเดิมที่ตั้งไว้ที่ 36% และเป็นการออกแบบโครงสร้างพลังงานของประเทศ เพื่อปูทางสู่อนาคตที่มั่นคง สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero โดยหนึ่งในพลังงานสะอาดที่มีบทบาท และร่วมขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ คือ พลังงานน้ำ ซึ่งโดดเด่น และจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานที่มากขึ้นให้กับประเทศ
“พลังงานน้ำ” ทิศทางพลังงานสะอาดของไทย
แม้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะมีบทบาทสำคัญในฐานะพลังงานสะอาด แต่อีกด้านหนึ่ง พลังงานบางประเภท อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ก็ยังคงมีข้อจำกัดในด้านความไม่เสถียร เนื่องจากยังต้องพึ่งพาสภาพอากาศเป็นสำคัญ การผลิตไฟฟ้าก็ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยจึงมีทางออกสำหรับพลังงานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ทางเลือกนั้นคือ พลังงานน้ำ ที่กล่าวได้ว่าไม่ใช่แค่ “พลังงานสำรอง” แต่เป็นพลังงานหลักของอนาคต สอดรับกับข้อมูลล่าสุดของ เอ็มเบอร์ (Ember) องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดระดับโลก ที่ระบุว่าในปี 2024 ที่ผ่านมา ไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีสัดส่วนสูงสุดของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก นั่นคือ 14.3% ขณะที่ พลังงานนิวเคลียร์มีสัดส่วนที่ 9.0% พลังงานลม 8.1% และพลังงานแสงอาทิตย์ 6.9% แต่ถึงแม้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำจะมีเสถียรภาพและเป็นหนึ่งในพลังงานหมุนเวียนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ บางพื้นที่รวมถึงประเทศไทยเองก็ยังพบข้อจำกัดด้านภูมิประเทศและระบบนิเวศ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ภายในประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบ และต้องพึ่งพาพลังงานจากแหล่งอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างใน สปป.ลาว ที่มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ และสามารถส่งไฟฟ้าจากพลังงานน้ำกลับมายังไทย โดยมีสัดส่วนการใช้ไฟในประเทศกว่า 10%
หากพิจารณาในเชิงลึก วันนี้การมีแหล่งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้กลายเป็นข้อได้เปรียบในหลายปัจจัย เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องพึ่งปัจจัยอื่นๆ เหมือนกับพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น ทำให้การพัฒนาพลังงานน้ำกลายเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ หรือแม้แต่กับทั้งภูมิภาคได้ด้วย โดยเฉพาะในอนาคตที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น เหตุนี้การมีแหล่งไฟฟ้าสำรองเป็นเรื่องสำคัญมากยิ่งขึ้น ทว่าการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีความยั่งยืน คงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และชุมชนในพื้นที่ นั่นเป็นเหตุผลให้การสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำในปัจจุบันต้องคำนึงถึงมาตรฐานระดับสากลในหลากหลายมิติ ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งว่าด้วย E - Environment ที่ต้องมั่นใจว่าการผลิตไฟฟ้าไม่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำ ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมรอบด้าน, S - Social ต้องดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนที่อยู่โดยรอบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และ G - Governance ที่ต้องโปร่งใส มีระบบตรวจสอบได้ และยึดถือธรรมาภิบาลในทุกขั้นตอนของโครงการ
สำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในภูมิภาค ยังมีอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่ใช้เป็นมาตรฐานสากล นั่นคือ การปฏิบัติตามกรอบความร่วมมือของ "คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง" หรือ MRC ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำโขงร่วมกัน โดย MRC ว่าด้วยการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำตามลำน้ำสายหลักมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานสะอาดและยั่งยืนในภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทของแม่น้ำโขง ที่มีศักยภาพมหาศาลในการผลิตไฟฟ้าโดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้การดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำของประเทศสมาชิก MRC จะต้องยึดถือหลักการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งในระดับระหว่างประเทศ ระดับประเทศ และระดับลุ่มน้ำอย่างจริงจัง ผ่านกลไก "การแจ้งให้ทราบ ปรึกษาหารือและเห็นพ้องร่วมกัน" (PNPCA) อันเป็นหนึ่งในหลักปฏิบัติสำคัญของ MRC เพื่อให้เกิดการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ
เหตุนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในปัจจุบันจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างรอบคอบและใส่ใจ โดยมุ่งลดผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็มีมาตรการบรรเทาผลกระทบและกิจกรรมสร้างประโยชน์ร่วมให้กับชุมชนในพื้นที่ อาทิ การพัฒนาอาชีพ การส่งเสริมสุขภาพ การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยแนวทางนี้เอง โรงไฟฟ้าพลังน้ำจึงไม่ใช่เพียงแหล่งพลังงานสะอาด แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ สร้างโอกาสใหม่ให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงร่วมกันอีกด้วย
เมื่อเป้าหมายโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำของไทย อยู่ที่ความยั่งยืนที่แท้จริง
สำหรับประเทศไทย แม้จะมีแผนในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น แต่ด้วยโครงสร้างระบบไฟฟ้าระบบเดิมที่อยู่ระหว่างการปรับเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ของกระแสโลก ไทยจึงยังคงใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก โดยไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนมีประมาณ 15-20% ซึ่งหนึ่งในนั้นมาจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ใน สปป.ลาว ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ระบุว่า ไทยมีการนำเข้าพลังงานหมุนเวียน จากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำของ สปป.ลาว กว่า 10% ที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบไฟฟ้าของไทย
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) แบบกักเก็บน้ำ (Storage) ที่ใช้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ควบคุมปริมาณการไหลของน้ำ, 2) แบบสูบน้ำกลับ (Pumped Storage) ที่ใช้พลังงานส่วนเกินสูบน้ำกลับขึ้นที่สูง เพื่อผลิตไฟในช่วงความต้องการสูง และ 3) แบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) ที่ใช้แรงน้ำจากแม่น้ำโดยตรงในการผลิตไฟฟ้าโดยไม่มีการกักเก็บน้ำ ลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้แบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามอัตราไหลของน้ำ ซึ่งหลักการทำงานของระบบนี้จะไม่เก็บกักน้ำเหมือนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั่วไป น้ำจึงสามารถไหลผ่านได้ตลอดเวลา ที่สำคัญคือตะกอนสามารถไหลผ่านได้ตามธรรมชาติ ไม่มีการกักเก็บตะกอน สามารถรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนได้ โดยหนึ่งในผู้นำที่สำคัญสำหรับการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำดังกล่าว คือ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower
อย่างไรก็ตาม ในอนาคต อีกทางเลือกด้านความมั่นคงด้านพลังงานของไทยก็จะไม่ขึ้นกับเพียงแค่โรงไฟฟ้าแบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) อย่างเดียวอีกต่อไป เพราะอนาคตโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage) จะเป็นทางเลือกใหม่ เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับจะทำหน้าที่เป็นเหมือนแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ในการกักเก็บพลังงาน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำ โดยจะทำงานผ่านการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำตอนล่างไปกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำตอนบน ก่อนจะปล่อยกลับมาผลิตไฟฟ้าในเวลาที่ต้องการได้ตลอดเวลา กลไกการทำงานนี้จะช่วยลดข้อจำกัดของความผันผวนและรักษาเสถียรภาพของระบบการผลิตไฟฟ้าได้ ขณะเดียวกันก็เป็นทางเลือกทดแทนพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่มีปัจจัยเรื่องสภาพอากาศเป็นตัวแปร นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage) ยังมีผลดีกว่าระบบผลิตไฟฟ้าโดยทั่วไปที่มักมีพลังงานส่วนเกินจำนวนมาก แต่ไม่สามารถใช้ได้ทันทีทั้งที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง โดยจะปล่อยน้ำจากอ่างบนไหลลงกลับมาหมุนกังหัน ทำให้ผลิตไฟฟ้าทันที ถือเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจ ยังไม่นับรวมความยืดหยุ่นในการจ่ายไฟ โดยจะสามารถเริ่มเดินเครื่องได้ภายในไม่กี่นาที ช่วยควบคุมแรงดันไฟให้ระบบมีเสถียรภาพตลอดทั้งวัน
นับว่าแตกต่างจากโรงผลิตไฟฟ้าทั่วไปที่ต้องผลิตไฟจากน้ำที่ไหลตามธรรมชาติอย่างเดียว แต่โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage) มีระบบสูบน้ำขึ้น - ปล่อยน้ำลง ที่ควบคุมได้เองตลอดเวลา สามารถเดินเครื่องผลิตไฟได้ภายใน 2–5 นาที ทั้งยังสามารถควบคุมกำลังไฟได้แบบแม่นยำ นับว่าเหมาะสมอย่างมากกับยุคที่พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ต้องอาศัยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ และอาจเรียกได้ว่า นี่คืออนาคตพลังสะอาดของไทย รวมถึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตเลยก็ว่าได้
แม้วันนี้พลังงานหมุนเวียนจะกำลังเข้ามาเปลี่ยนอนาคตของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับประเทศไทย การผลิตไฟฟ้าในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มปริมาณพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น หรือมีระบบกักเก็บไฟฟ้าที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องในทุกสภาพอากาศเพื่อสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมีตัวเลือกที่เหมาะสม รวมถึงเดินทางควบคู่ไปกับความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง