อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันไม่มีฝนถล่มซ้ำจนทำให้เกิดน้ำท่วมภาคใต้จนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 68 หลังจากนั้นต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ส่วน กทม. ระวัง PM 2.5 ช่วงสิ้นเดือน พ.ย. - ต้นเดือน ธ.ค. 68


วันที่ 27 พ.ย. 68 ดร.สุกันยาณี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยถึงสถานการณ์การตรวจสภาพอากาศล่าสุด ว่า ตอนนี้สถานการณ์ของภาคใต้เริ่มเข้าสู่ทิศทางที่กลับมาสู่สภาวะปกติแล้ว เนื่องจากมีปริมาณฝนที่ลดลงอย่างมาก แต่ก็ยังเหลือเพียงปริมาณฝนที่เล็กน้อยอยู่บ้างในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง คือ จังหวัดนราธิวาส ยะลา แต่สำหรับจังหวัดอื่นๆ ทางภาคใต้ อาทิ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา สตูล สภาพอากาศที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว

ส่วนตัวมองว่าจึงไม่มีความน่าเป็นห่วง แต่ในส่วนของจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดยะลาที่ยังมีฝนตกลงบ้างเล็กน้อย ก็ไม่มีความน่าเป็นห่วง เนื่องจากฝนที่ตกลงมาไม่ได้มีความรุนแรง ถึงขั้นที่จะสามารถทำให้น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันได้ จากเดิมที่ตกลงมาในระดับร้อยมิลลิเมตร ตอนนี้ก็ถือว่าตกอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากว่าหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมอยู่บริเวณภาคใต้ตอนล่างได้ขยับออกไปสู่ทะเลอันดามัน เพราะฉะนั้นตัวการที่ส่งผลให้มีการตกของฝนอย่างหนักนั้น ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ฝนก็ยังคงมีตกอยู่ในพื้นที่บ้างเล็กน้อย 1-2 วัน เนื่องจากว่าได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งก็ถือว่าเป็นฤดูฝนตามปกติ

สำหรับในส่วนของอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตอนนี้จากการตรวจสอบสภาพอากาศอย่างละเอียดพบว่ามีฝนน้อยลงอย่างมาก ภายใน 1-2 วันนี้จะมีสภาพอากาศและสถานการณ์ที่ดีขึ้น จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม หลังจากนั้นก็จะต้องมีการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะตรวจเจอกลุ่มฝนหรือสภาพอากาศที่ผิดปกติอย่างไรบ้าง

...

และก็ต้องตรวจสอบถึงระลอกของสภาพอากาศหนาวที่จะพัดผ่านเข้ามาในประเทศว่าจะเข้ามามากน้อยเพียงใด ประกอบกับในห้วงเวลาดังกล่าวนั้นมีหย่อมความกดอากาศต่ำเข้ามาด้วยหรือไม่ในร่องมรสุมพาดผ่านอยู่บริเวณไหน ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้อาจประกอบกันก็จะทำให้เกิดฝนตกหนักได้ ในหลายๆ พื้นที่ อย่างเช่นเหตุการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่จนทำให้มีน้ำไหลเข้าท่วมเป็นจำนวนมากก็มาจาก 3 ปัจจัย คือ ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน มีกำลังค่อนข้างแรงที่พัดผ่านเข้ามาสู่ประเทศไทย 2. หย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ภาคใต้ตอนล่าง 3. แนวร่องมรสุมที่เคลื่อนที่ผ่านภาคใต้ตอนล่าง

จากการตรวจสภาพอากาศอย่างละเอียดแล้วพบว่า จากวันนี้ (27 พฤศจิกายน) จนถึงวันที่ 4 ธันวาคมนั้นจะไม่มีฝนที่ตกลงมาซ้ำอย่างหนักในเขตพื้นที่ภาคใต้ ตนเองขอยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวนี้เชื่อถือได้ 80-90% เนื่องจากเป็นการตรวจสอบของแบบจำลองการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาไม่ตรวจพบว่ามีลักษณะของกลุ่มฝนที่จะตกหนักจนทำให้เกิดน้ำท่วมได้

แต่หากหลังจากวันที่ 4 ธันวาคมไปแล้วก็จะต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์และตรวจสอบสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากว่าขณะนี้เป็นช่วงฤดูหนาว เพราะฉะนั้นระลอกของอากาศหนาวที่พัดผ่านเข้ามาก็จะมาเป็นระลอกหากมีความแรงและมีหย่อมความกดอากาศต่ำเกิดขึ้น ทางกรมอุตุนิยมวิทยาก็จะคอยเฝ้าติดตามและจะมีการประกาศเตือนให้ได้รับทราบ 3 วันล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ เพื่อที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เตรียมพร้อมรับมือ และหากถามว่าในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่จะมีฝนตกลงมาอย่างหนักอีกหรือไม่หลังจากวันที่ 4 ธันวาคม ก็ต้องพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ว่าเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร

สำหรับการตรวจอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยานั้น ก็จะเป็นการตรวจที่สถานีพื้นดินในเรื่องของอุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชื้น ทิศทางความเร็วของลม และมีการตรวจอากาศในแนวดิ่งในหลายระดับ เพื่อที่จะทำให้ได้ทราบถึงสภาพอากาศในแนวตั้ง โดยจะอาศัยการปล่อยลูกบอลลูนขึ้นไปในอากาศพร้อมกับตัววิทยุหยั่งอากาศที่จะตรวจสภาพอากาศในแนวตั้ง ทางกรมอุตุจึงมีวิธีการตรวจทั้งผิวพื้นและลมชั้นบนของอากาศ

นอกจากนี้ก็ยังมีการตรวจเทคโนโลยีจากดาวเทียม ที่จะทำการตรวจจับกลุ่มเมฆฝน อย่างเช่น อายุก็จะใช้ดาวเทียมในการตรวจการเคลื่อนที่ ดูตำแหน่ง และดูความรุนแรงของพายุ และยังมีเรดาร์ตรวจอากาศที่จะมีหน้าที่ตรวจจับกลุ่มฝน ที่เกิดขึ้นบริเวณต่าง ๆ ของประเทศ

นอกจากนี้สำหรับ “พายุโคโตะ” จากการตรวจสภาพอากาศอย่างละเอียดล่าสุด ทำให้ทราบว่า สำหรับพายุโคโตะ ตอนนี้ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุไต้ฝุ่นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา เคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์ลงสู่ทะเลจีนใต้ ซึ่งก็จะอยู่ในทะเลประมาณ 2 วัน ก่อนเคลื่อนตัวมาทางทิศตะวันตกจะขึ้นสู่ชายฝั่งเวียดนาม ประมาณวันที่ 2 ธันวาคม แต่ในขณะที่พายุโคโตะเคลื่อนที่ผ่านบริเวณพื้นดินก็จะมีความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนเคลื่อนที่ลงมาค่อนข้างมีความแรง ซึ่งเมื่อพายุเคลื่อนที่มาเจอกับมวลอากาศเย็น พายุก็จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน เป็นพายุดีเปรสชั่น และอาจจะสลายตัวไปเอง ซึ่งก็ยืนยันว่าจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน

แต่ภาคอีสานตอนล่างและภาคตะวันออกก็อาจจะได้รับผลกระทบคือ มีฝนตกลงมาบ้างเล็กน้อย เกษตรกรที่ตากผลผลิตอาจจะต้องระมัดระวังเพราะอาจจะทำให้ผลผลิตเสียหายได้หากมีฝนตกลงมา

ในส่วนของกรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบเล็กน้อย คือ มีเมฆมาก และมีความชื้นเข้ามา ซึ่งช่วงนั้นก็อาจจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม แต่สำหรับในส่วนของภาคใต้นั้นไม่ได้รับผลกระทบพายุโคโตะอย่างแน่นอน เนื่องจากว่า พายุจะมีการสลายตัวไปก่อนที่จะเข้าสู่ประเทศไทย สำหรับตอนนี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยาก็จะต้องเฝ้าติดตามการเคลื่อนตัวของพายุโคโตะดังกล่าวนี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้วิธีสังเกตว่าจะมีฝนตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่นั้นก็สามารถที่จะสังเกตด้วยวิธีการพื้นฐานว่าหากพื้นที่ภาคกลางมีอากาศหนาวเย็นค่อนข้างมากก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้พื้นที่ภาคใต้มีปริมาณฝนตกลงมาอย่างหนัก เช่นกัน เนื่องจากว่ามวลอากาศเย็นที่อยู่ในลักษณะของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เมื่อเวลาพัดผ่านเข้ามาจะผ่านอ่าวไทย ทะเลจีนใต้มายังภาคใต้ ซึ่งการพัดเข้ามาก็จะนำความชื้นของทะเลเข้ามาด้วย และสำหรับความชื้นที่มวลอากาศเย็นพาเข้ามาจากทะเลก็จะทำให้เกิดการยกตัวของเมฆฝนโดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกหรือฝั่งอ่าวไทย

...

สำหรับลานีญาจะเป็นลักษณะของลมที่พัดจากตะวันออกมายังฝั่งตะวันตก ซึ่งจะมีความแรงที่ผิดจากปกติ ซึ่งก็เป็นปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศ เพราะฉะนั้นลมที่พัดเข้ามาก็จะพัดเอาความชื้นจากทะเลเข้ามาด้วย จึงทำให้ภาคใต้อาจจะมีฝนตกลงมามากกว่าปกติ

นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ สารปะ ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ ยังได้อธิบายภาพแสดงผลจากดาวเทียมและเรดาร์ การเคลื่อนตัวของพายุโคโตะ ว่า ขณะนี้ตัวพายุอ่อนกำลังลงเป็นไต้ฝุ่นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจุดศูนย์กลางของพายุอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ และจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งของประเทศเวียดนาม แต่เมื่อขึ้นฝั่งแล้วจะได้รับผลกระทบจากมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาจากประเทศจีน ซึ่งก็จะทำให้ตัวพายุสลายตัวหรืออ่อนกำลังลง แต่ก็ยังทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกได้รับผลกระทบบ้าง คือ อาจจะมีฝนตกลงมาแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงที่จะทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากหรือน้ำท่วมได้

หากดูจอแสดงผลจากการตรวจของดาวเทียมนั้น ขณะนี้ก็จะเห็นได้ว่า ขณะนี้มีกลุ่มฝนอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และจังหวัดยะลา ซึ่งอยู่บริเวณภาคใต้ตอนล่างที่มีฝนตกลงมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นรุนแรงที่จะทำให้น้ำท่วมได้ นอกจากนี้จากการตรวจสอบจอเรดาร์ก็เห็นว่า บริเวณพื้นที่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปถึงจังหวัดสงขลา ไม่พบการเคลื่อนตัวของสีเขียวอ่อนในหน้าจอ ซึ่งสำหรับสีเขียวอ่อนที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มฝน 20-30 มิลลิเมตร ทำให้มั่นใจได้ว่าพายุโคโตะ จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคใต้อย่างแน่นอน.

...