ถ้าพูดถึงผู้เชี่ยวชาญโรคยากและซับซ้อน ชื่อของ “โรงพยาบาลรามคำแหง” คือหนึ่งในคำตอบแรกๆ ที่อยู่ในใจคนไทยมาตลอดเกือบ 4 ทศวรรษ นี่คือภาพจำที่ถูกสร้างขึ้นจากความเชื่อมั่น ดั่ง DNA ที่แข็งแกร่งซึ่งถูกส่งต่อมาจาก “จิตวิญญาณ” ของกลุ่มแพทย์ผู้ก่อตั้งในปี 2531 ที่มีปณิธานร่วมกันในการสร้างสถานพยาบาลคุณภาพให้คนไทยเข้าถึงการรักษามาตรฐานสากล ความเชี่ยวชาญในการรับมือเคสยากๆ จึงกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงและเป็น “ความไว้วางใจ” ที่คนไทยมอบให้ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง
แต่ในโลกที่ไม่เคยหยุดหมุน แม้แต่รากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงและยกระดับเพื่อมุ่งหน้าสู่อนาคต วันนี้ “กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง” จึงตัดสินใจเปิดม่านสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 37 ปี นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนเพื่อทิ้งตัวตนเดิม แต่คือการ “ต่อยอดความเชี่ยวชาญ” สู่การเป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพแห่งอนาคตที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับคนทุกวัย
4 เสาหลักที่ต่อยอดตำนาน หัวใจสู่ยุคใหม่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง
การเดินหน้าพลิกโฉมของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงในครั้งนี้มีพิมพ์เขียวที่ชัดเจน ประกอบด้วยการดำเนินงานที่ผสานร่วมกันหลายส่วน อย่างไรก็ตาม, หัวใจสำคัญที่เป็นดั่งแกนกลางของการรีแบรนด์ได้แก่ 4 เสาหลัก ที่ต่อยอดมาจากความแข็งแกร่งเดิม โดย ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ ได้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ใหม่ว่า “ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่รักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่การป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพ ไปจนถึงการฟื้นฟู การปรับภาพลักษณ์ใหม่จึงถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารว่าเราพร้อมดูแลสุขภาพในทุกมิติของชีวิต และเทคโนโลยีคือเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายนี้”
การขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้เริ่มต้นจากเสาหลักที่สืบทอดมาจากจิตวิญญาณแรกเริ่ม นั่นคือ Caring (ความใส่ใจ) สะท้อนถึงปณิธานของกลุ่มแพทย์ผู้ก่อตั้งที่มุ่งหวังดูแลคนไทยทุกกลุ่ม ทุกสิทธิการรักษา ด้วยความเข้าใจและเข้าถึงทุกความต้องการของคนไข้ ไม่ใช่เพียงการรักษาอาการทางกาย แต่เป็นการดูแลจิตใจและให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนไข้และครอบครัว ตั้งแต่การให้ข้อมูลที่ชัดเจน การรับฟังอย่างตั้งใจ ไปจนถึงการมอบความสะดวกสบายในทุกขั้นตอนของการรักษา เพื่อสร้างความอบอุ่นและมั่นใจ
ความใส่ใจนี้ไม่ใช่คำกล่าวอ้าง แต่พิสูจน์ชัดผ่านตัวเลขที่จับต้องได้ โดยในปี พ.ศ. 2567 ผ่านมา โรงพยาบาลรามคำแหงได้ดูแลผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 533,850 คนต่อปี และผู้ป่วยในเฉลี่ย 68,526 เตียงต่อปี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คือบทพิสูจน์ว่าทุกการเติบโตมีเป้าหมายสุดท้ายเพื่อมอบการดูแลที่ดีที่สุดให้แก่คนไข้ทุกคน
เสาหลักถัดมาอย่าง Trusted (ความไว้วางใจ) เป็นดั่งการต่อยอดจากประสบการณ์เกือบ 4 ทศวรรษและมาตรฐานการรักษาระดับสากลที่พิสูจน์ได้ ความไว้วางใจที่สั่งสมมาอย่างยาวนานนี้ เกิดจากการยึดมั่นในมาตรฐานทางการแพทย์ในระดับสูง การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่เปี่ยมด้วยจริยธรรมและความรับผิดชอบ ซึ่งนอกเหนือไปจากความเชื่อมั่นที่ไม่เคยจางหายจากคนไข้ทุกกลุ่มที่เข้ารับบริการตลอด 37 ปีที่ผ่านมา อีกหนึ่งเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จก็คือรางวัลและมาตรฐานระดับโลกต่างๆ อาทิ Best Specialized Hospitals Asia Pacific 2025 โดย Newsweek, Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2023-2024, AIA Hospital Awards 2022 รวมถึงมาตรฐานสากลอย่าง ACCI, HA และ ISO9001:2015
ความเชื่อมั่นเหล่านี้ได้นำไปสู่อีกหนึ่งเสาหลักสำคัญนั่นคือ Expertise (ความเชี่ยวชาญ) ที่เป็น DNA ดั้งเดิมของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งในเป้าหมายใหม่นั้นจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญโรคยากและซับซ้อนได้ถูกยกระดับให้โดดเด่นยิ่งกว่าเคย ผ่านศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Centers of Excellence) ที่หลากหลายและครอบคลุมการดูแลสุขภาพในทุกมิติ เช่น ศูนย์โรคหัวใจ ที่รักษาภาวะฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง, ศูนย์สมองและระบบประสาท, ศูนย์กระดูกและข้อ และ ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก เป็นต้น โดยในปัจจุบัน โรงพยาบาลรามคำแหงมีทีมแพทย์รวมกว่า 400 คนและบุคลากรทางการแพทย์ รวม 1,700 คน ที่พร้อมส่งมอบการบริการที่ได้มาตรฐานและความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาระดับสูงให้แก่คนไข้
นอกเหนือจากนั้น กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงยังได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการผ่าตัดแผลเล็ก รวมไปถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) มุ่งหวังยกระดับการรักษาให้ตอบทุกโจทย์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด
และท้ายที่สุด พลังทั้งหมดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่เดียว แต่ถูกขยายขอบเขตศักยภาพผ่านเสาหลักที่เรียกว่า Collaborative (ความร่วมมือ) ที่เปลี่ยนโรงพยาบาลเดี่ยวสู่การเป็นเครือข่ายสุขภาพอันทรงพลัง จากแต่เดิมที่โรงพยาบาลรามคำแหงเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่มี 486 เตียง ปัจจุบันได้เติบโตเป็นกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงที่มีเครือข่ายโรงพยาบาล 46 แห่ง และจำนวนเตียงกว่า 7,800 เตียงครอบคลุมทุกภาคของไทย
พลังแห่งความร่วมมือจากเครือข่ายโรงพยาบาลพันธมิตรทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลสินแพทย์ และโรงพยาบาลวิภาวดี ก่อให้เกิดเป็นระบบนิเวศการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่งและไร้รอยต่อผ่านการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางการแพทย์ การส่งต่อคนไข้ที่เหมาะสม และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อให้คนไข้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในประเทศไทย สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและต่อเนื่องได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
4 เสาหลักดังกล่าว ที่ประกอบไปด้วย Caring (ใส่ใจ), Trusted (ความไว้วางใจ), Expertise (เชี่ยวชาญ) และ Collaborative (ความร่วมมือ) ต่างทำงานสอดประสานกันเพื่อนำไปสู่เป้าหมายสำคัญของการรีเฟรชภาพลักษณ์ครั้งนี้ นั่นคือการสลัดภาพจำเดิมๆ และขยายการเข้าถึงให้เป็นโรงพยาบาลสำหรับทุกคน ทุกวัย แม้ที่ผ่านมาจะได้รับการยอมรับอย่างสูงในฐานะโรงพยาบาลตติยภูมิที่เชี่ยวชาญโรคซับซ้อน แต่ในตอนนี้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงได้เปิดประตูบานใหม่สู่การเป็น “โรงพยาบาลครบวงจร” ที่พร้อมเดินเคียงข้างผู้คนในทุกช่วงวัย ตั้งแต่คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจการดูแลเชิงป้องกัน, กลุ่มคนทำงาน ไปจนถึงผู้สูงวัยที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี
“เราต้องการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเพิ่มบริการดูแลสุขภาพเชิงรุก และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้มากขึ้น เพื่อสร้างความผูกพันกับคนกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม” ดร.ฤกขจี กล่าว “เพราะเราเชื่อว่าในอนาคต เมื่อคนเหล่านี้ก้าวเข้าสู่กลุ่มสูงวัย หรือเกิดการเจ็บป่วย โรงพยาบาลรามคำแหงจะอยู่ใน 'Top of Mind' ของพวกเขาเสมอ ที่สำคัญคือเราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพในทุกช่วงชีวิต ไม่ใช่แค่เมื่อเจ็บป่วยเท่านั้น เพราะตอนนี้เรามีความพร้อมที่จะดูแลเขาในทุกมิติ ด้วยความเชี่ยวชาญในทุกด้าน ไม่ใช่แค่โรคที่รักษายาก”
“RAM 2.0” กลยุทธ์ที่ผสานทั้งเจตนารมณ์ดั้งเดิมและมุมมองธุรกิจยุคใหม่
การเดินทางสู่เป้าหมายครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงความมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์แห่งอนาคต “RAM 2.0” ที่ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ Clinical Excellence (ยกระดับขีดความสามารถทางการแพทย์), Network Synergy (สร้างความร่วมมือในเครือข่าย), Asset Optimization (เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์), Strategic Expansion (เดินหน้าการลงทุนและควบรวมกิจการ) และ ESG Commitment (ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน)
แผนงานดังกล่าวเปรียบดั่งพิมพ์เขียวแห่งอนาคตที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงการสานต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิม ไปพร้อมการผสมผสานเข้ากับมุมมองทางธุรกิจใหม่ๆ โดย ดร.ฤกขจี มองไกลไปถึงการก้าวสู่เป้าหมายผู้นำอันดับ 1
“เรายังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการดูแลประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อให้บริการคนไข้ทุกกลุ่มทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมผู้ชำระเงินเอง ประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 30 บาท และล่าสุดยังได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี (Thonburi Hospital Group) ทำให้ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงนับเป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศไทย โดยคาดการณ์การเติบโตทั้งเครือในปีนี้ 40% จากปีก่อนหน้า และเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอนาคต”
จากความเชี่ยวชาญ สู่คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างในทุกช่วงชีวิต
ตลอดเส้นทางเกือบ 40 ปี โรงพยาบาลรามคำแหงไม่เคยหยุดยั้งที่จะเติบโต ขณะเดียวกันยังเป็นการเติบโตที่โอบรับเจตนารมณ์หลักของผู้ก่อตั้งไว้อย่างแนบแน่น และความแข็งแกร่งนี้ได้รับการพิสูจน์ผ่านบททดสอบและวิกฤตการณ์ต่างๆ มานับไม่ถ้วน โดยล่าสุดการเติบโตครั้งสำคัญก็ได้มาถึง นำมาสู่การเปลี่ยนผ่านของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงสู่ยุคสมัยใหม่ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
ความเชี่ยวชาญในโรคยากและซับซ้อนที่ถูกต่อยอดด้วย 4 เสาหลัก ตลอดจนการวางเกมบุกสู่อนาคตภายใต้แผน RAM 2.0 ทั้งหมดนี้ได้ถูกหลอมรวมและสรุปใจความสำคัญไว้ในแนวคิดใหม่ที่สะท้อนตัวตนทั้งหมดของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง
“ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแล”
ซึ่งคำพูดดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่ไม่เคยหยุดนิ่งผ่านการพัฒนาในทุกมิติเพื่อตอบรับทุกความต้องการอย่างแท้จริง พร้อมกันนั้นคำพูดนี้ยังเป็นดั่งคำมั่นสัญญาบทใหม่ที่ทรงพลัง ที่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงพร้อมจะมอบให้แก่สังคมไทยนับจากนี้เป็นต้นไป