กสศ. ชี้ การศึกษาไทยกำลังติดกับดักที่บีบให้เด็กต้องเลือกระหว่างการเรียนกับความฝัน โดยเฉพาะด้านกีฬา พลิกการศึกษาไทยเสนอให้ระบบการศึกษาต้องสร้าง "พื้นที่กลาง" และใช้ "ความฝัน" เป็นแรงขับเคลื่อน

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดมุมมองให้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เด็กไม่ควรต้องเลือกระหว่าง "กีฬา" กับ "การเรียน" ในสังคมไทย เด็กจำนวนมากต้องเผชิญทางเลือกที่ไม่ควรเกิดขึ้นเรียนต่อดี หรือทุ่มเทให้กีฬา?

ดร.ไกรยส ชี้ว่า ระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องสร้าง “พื้นที่กลาง” ที่ให้เด็กเดินบนเส้นทางที่เขารัก พร้อมเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกันได้ จะดีกว่ามาก ถ้าเรามีระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นพอให้กีฬาและการเรียนมาบรรจบเป็นเส้นทางเดียว ตอบโจทย์ความหลากหลายของเด็กไทย

กรณี อบต.ลำปางหลวง คือภาพสะท้อนจริงที่ กสศ. ค้นพบ เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาบางคนไม่ยอมกลับเข้าโรงเรียน แต่ยอมกลับมาซ้อมฟุตบอลทุกวัน และเมื่อมีเงื่อนไขว่า "ต้องแก้ ร. ให้ครบก่อนลงสนามศุภชลาศัย" เด็กทุกคนกลับทุ่มเทอย่างที่สุด

"เด็กที่ติด ร. สิบกว่าตัว ไม่เคยแก้ แต่พอบอกว่าต้องแก้ให้หมดก่อนถึงจะได้ลงเตะในสนามศุภชลาศัย เขาฮึดเต็มที่ พยายามสุดความสามารถ เพราะนั่นคือความฝันของเขา”

เรื่องนี้สะท้อนประเด็นสำคัญว่า หากระบบการศึกษาเชื่อมโยงกับความฝัน เด็กจะมีแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังอย่างมหาศาล

สนามฟุตบอล = ห้องเรียนชีวิต พื้นที่แห่งโอกาส

ฟุตบอลสอนอะไรที่ตำราไม่อาจสอนได้ครบ การต่อสู้เมื่อแต้มตามหลัง การล้มแล้วลุก ความมีวินัย ความกล้าหาญ และการไม่ทิ้งทีม ในสนาม เราจึงเห็น “การศึกษาในชีวิตจริง” ชัดเจนกว่าที่ไหน

...

“เวลาเด็กอยู่บนสนาม เราเห็นพลังการต่อสู้ของพวกเขา ล้มกี่ครั้งก็ลุก คะแนนตามก็ยังสู้ เพราะเขากำลังทำในสิ่งที่รัก”

เด็กหลายทีมทั่วประเทศที่ร่วมแข่งขันในปีนี้ต่างมีเรื่องราวแบบเดียวกัน ไม่ใช่เพราะเป็นทีมดัง แต่เพราะพวกเขาได้อยู่ในพื้นที่ที่เปิดให้ใช้ความฝันเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิต 

การศึกษาต้องมองความหลากหลายของเด็กเป็นศูนย์กลาง ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 4 การศึกษาไม่ใช่ห้องเรียนอย่างเดียว แต่คือ “กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม”

การแข่งขันที่สนามศุภชลาศัยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน จึงไม่ใช่แค่เกมฟุตบอล แต่คือ “กระบวนการเรียนรู้เชิงลึก” ของทั้งเด็กและสังคมไทย

“สิ่งที่เกิดขึ้นที่ศุภชลาศัย คือการศึกษาอย่างแท้จริง เด็กเรียนรู้จากการลงมือทำ และสังคมก็เรียนรู้ไปพร้อมกับพวกเขา”

ผู้ชมหลายหมื่นในสนาม และผู้ชมออนไลน์จำนวนมหาศาลกำลังร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้สาธารณะ ว่าความพยายามของเด็กมีคุณค่ามากเพียงใด

มูลค่าทางเศรษฐกิจที่ “ลอยอยู่เหนือสนามกีฬา”

ความสนใจจากคนทั้งประเทศทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ยอดผู้ชม ยอดแชร์ ยอดสนับสนุน คอมเมนต์นับแสน และภาคส่วนต่าง ๆ ที่อยากมีส่วนร่วมสนับสนุน ดร.ไกรยสชี้ว่า มูลค่าดังกล่าวควรถูกออกแบบให้ “ไหลกลับ” ไปสู่การพัฒนาเยาวชนอย่างยั่งยืน “เรามีทรัพยากรที่ลอยอยู่เหนือสนาม คำถามสำคัญคือจะดึงมันกลับไปเป็นอุปกรณ์ซ้อม โภชนาการที่ดีมีคุณภาพ การเดินทางปลอดภัย และระบบแข่งขันที่ดีให้เด็กได้อย่างไร”

หากจัดระบบอย่างเหมาะสม งบสนับสนุนและแรงร่วมที่เกิดขึ้นสามารถขับเคลื่อนทั้งระบบกีฬาและการศึกษาของประเทศได้จริง

“สิ่งที่เห็นจากสื่อ คือ นักกีฬาจะได้รางวัลหรือได้เงินอัดฉีด ตอนได้เหรียญโอลิมปิกแล้ว อาจจะต้องมีการจัดสรรปันส่วนมาลงทุนตั้งแต่ต้นทางมากขึ้น เราก็คงไม่อยากจะเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น 10 ปีครั้งหนึ่ง แต่อยากให้เรื่องราวดี ๆ แบบนี้ เกิดได้ทุกปี ทุกปีเราจะมีเรื่องราวของเด็กในแต่ละจังหวัดที่ทำให้คนไปฟอลโล ทำให้คนไปสนับสนุน ทำให้คนไปเชียร์ได้อย่างเป็นระบบ และก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”

โมเดลระดับโลกพิสูจน์แล้ว: พรสวรรค์เกิดทุกที่ ระบบต้องตามไปหา

หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ สหรัฐฯ ลงทุนในระบบเยาวชนอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่า “พรสวรรค์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เกิดขึ้นได้ทุกจุด ในทุกชุมชน” ประเทศไทยก็ทำได้เช่นกัน มีทีมเยาวชนในโรงเรียนและพื้นที่ทุกแห่ง หากมีโค้ช มีระบบคัดเลือกต่อยอด เราจะมี pipeline นักกีฬาคุณภาพสู่ทีมจังหวัด ทีมชาติ และอาชีพได้อย่างเป็นระบบ

“ถ้าเรามีระบบค้นหาตั้งแต่ต้นทาง ความสำเร็จจะไม่ใช่ซินเดอเรลล่าสตอรี่ แต่เป็นระบบที่สร้างได้จริง”

“รถขนฝัน”: โครงสร้างใหม่เพื่อพาเด็กทั่วไทยไปถึงเวทีที่เขาภาคภูมิใจ

ดร.ไกรยสเสนอแนวคิด “รถขนฝัน” ระบบลำเลียงเด็กที่มีความฝันจากทั่วประเทศ ไปสู่เวทีที่เขาใฝ่ฝันอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล ศิลปะ ดนตรี หรือการแสดง เด็กควรเดินทางสู่เวทีเหล่านั้นได้โดยมีความปลอดภัยและโครงสร้างรองรับ “เราอยากเห็นรถขนฝันที่พาเด็กมีพรสวรรค์จากทุกจุดของประเทศสู่เวทีในฝันอย่างปลอดภัย เสมอภาค และเป็นระบบ”

ลงทุนให้คนที่ “ยังไม่ชนะวันนี้” เพื่อให้เขามีโอกาสชนะในวันหน้า

ระบบที่ดีไม่เน้นลงทุนเฉพาะเด็กที่คว้าเหรียญหรือเป็นแชมป์ แต่ลงทุนตั้งแต่ต้นทาง ทั้งในเด็ก ครู โรงเรียน ระบบเดินทาง และความปลอดภัย

“อย่าลงทุนเฉพาะตอนสำเร็จแล้ว ต้องลงทุนกับคนที่ยังไม่ชนะในวันนี้ เพื่อให้เขามีโอกาสชนะในวันหน้า นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด”

นี่คือหัวใจของความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างแท้จริง

ทำให้ “โอกาส” ไม่ใช่เหตุการณ์พิเศษ แต่เป็นระบบถาวรของประเทศ

...

ปรากฏการณ์วันที่ 8 พฤศจิกายน แสดงให้เห็นว่า “พลังของเด็กไทยมีจริง” แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ให้เป็นเพียงกระแสชั่วครั้ง “ความหวัง เราต้องวางฟันเฟืองให้มันติดเครื่องอยู่ตลอด เพื่อให้โอกาสถึงเด็กทุกคนจริง ๆ” เพื่อเด็กยากจน ขาดแคลนโอกาส กสศ. พร้อมทำงานเพื่อให้ความหวังนี้กลายเป็น “ระบบ” ที่ยั่งยืนของประเทศ

“เมื่อเราเชื่อในศักยภาพของเด็ก และสร้างระบบที่เอื้อให้เขาเติบโต-ประเทศก็จะเติบโตไปพร้อมกับเขาเช่นกัน”