"แม่ทัพกุ้ง" ร่วมพิธีสดุดี "16 ทหารกล้า" รำลึกถึงผู้ปกป้องเอกราช-อธิปไตยของชาติ พร้อมยืนยัน "ปราสาทตาควาย" ไม่ใช่ของกัมพูชาแต่เป็นของไทย
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 พ.ย. 2568 พลโทบุญสิน พาดกลาง หรือ "แม่ทัพกุ้ง" ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก เดินทางมาถึงบริเวณงาน ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความปลื้มปีติ โดยมีนักศึกษาวิชาทหารร่วมส่งเสียงร้องต้อนรับและโบกธงชาติไทยอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นได้จัดพิธีสดุดี "16 ทหารกล้า" เพื่อรำลึกถึงความเสียสละของเหล่าทหารผู้ปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ โดยผู้เข้าร่วมพิธียืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที เพื่อแสดงความเคารพต่อวีรกรรมของทหารกล้า ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาติด้วยความองอาจ กล้าหาญ และอดทน แม้ต้องเผชิญกับอันตรายและสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งไว้ด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณของชายชาติทหาร
พลโทบุญสิน กล่าวว่า ตนได้ผ่านสมรภูมิการรบระหว่างไทย–กัมพูชา ซึ่งถือเป็นการรบตามแบบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่เคยมีมา และรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ปฏิบัติหน้าที่นั้น เพราะตนได้ศึกษาด้านยุทธวิธีมาโดยเฉพาะ โดยเฉพาะยุทธวิธีประยุกต์ ซึ่งอาจถือเป็นความโชคดีของกัมพูชาที่ได้เจอกับตนในสมรภูมินั้น
ทั้งนี้ เกียรติศักดิ์ของทหารไทยอยู่ที่ตัวแม่ทัพหน้า และเป็นตัวแทนของคนไทยทั้ง 70 ล้านคน ศักดิ์ศรีของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนทั้งหมดอยู่ที่แนวชายแดนในเวลานั้น ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง พร้อมทั้งขอบคุณและชื่นชมทหารหน่วยปฏิบัติการแนวชายแดนทุกหน่วย และขอสดุดีวีรกรรมทหารทั้งหมด 16 นาย โดยย้ำว่าหน้าที่ของทหารคือต้องดูแลครอบครัวและผู้คนรอบข้างให้ดี ซึ่งนั่นคือเจตนารมณ์ขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
...
ในส่วนของผู้บังคับบัญชาทหารในพื้นที่ พลโทบุญสิน กล่าวว่า ต้องศึกษาพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามอย่างรอบคอบ ไม่ประมาทและรู้เท่าทัน เพราะบางการกระทำอาจขาดคุณธรรมจริยธรรม เช่น กรณีที่ฝ่ายกัมพูชาได้เผาศาลาตรีมุข ซึ่งเป็นศาลาที่อยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ถือเป็นการยั่วยุและล้ำเส้นแดนไทยประมาณ 150 เมตร ซึ่งเป็นการหยามศักดิ์ศรีของประเทศ
สำหรับข้อตกลงเอ็มโอยู 43 หากอีกฝ่ายไม่ให้เกียรติข้อตกลง ก็ต้องเริ่มมาตรการเตือนก่อน ซึ่งภายหลังได้มีการขอเจรจาและถอนกำลังออกจากพื้นที่ แต่ก็เกิดเหตุปะทะกันขึ้นอีกครั้งในเวลาต่อมา โดยยืนยันว่าทหารไทยปฏิบัติอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์
ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศใหญ่ที่ประชาคมโลกจับตามอง จึงต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ไม่ให้ถูกมองว่าเป็นฝ่ายรังแกใคร พร้อมกล่าวถึงเสียงเรียกร้องที่ถูกถามว่า "เมื่อไหร่จะบุก" ว่าตนเองยอมถูกตำหนิ แต่เลือกที่จะอดทนและใช้เหตุผลในการตัดสินใจ ยืนยันว่าปราสาทตาควายไม่ใช่ของกัมพูชาแต่เป็นของไทย และเชื่อว่าการบริหารจัดการปัญหานี้ควรส่งต่อให้ผู้ที่รับหน้าที่ต่อไปดำเนินการอย่างเป็นระบบต่อไป
ส่วนสถานการณ์การรบระหว่างไทย–กัมพูชา ที่ผ่านมากัมพูชายังคงใช้วิธีการรบแบบทุ่มกำลังคนเข้าหา ใช้กำลังมากถึงประมาณ 100–200 นายต่อครั้ง ซึ่งฝ่ายไทยได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอีกฝ่ายจะใช้ยุทธวิธีลักษณะนี้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไทยยึดถือกฎหมาย และหลักเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ทางการไทยกำหนดให้ใช้เป็นหลัก หากมีผู้ใดล้ำเข้ามาในเขตแดน ฝ่ายไทยมีหน้าที่ผลักดันให้ออกจากพื้นที่ เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ
หลักประกันที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก ขึ้นอยู่กับผู้นำประเทศและลีลาทางการทูต รวมถึงพลังอำนาจในการเจรจาต่อรอง โดยหลังจากนี้ กองทัพไทยจำเป็นต้องกลับมาทบทวนและพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เข้มแข็ง เป็นที่ยำเกรงและพร้อมเผชิญสถานการณ์ในทุกมิติ พร้อมถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพื่อปรับปรุงการทำงาน
สำหรับแนวทางการป้องกันชายแดน เห็นว่า "กำแพงชายแดน" จะช่วยลดภาระการใช้กำลังพล โดยการติดตั้งลวดหนาม และปล่อยกระแสไฟฟ้าป้องกัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อเหตุไม่พึงประสงค์ รวมถึงประหยัดกำลังพลในพื้นที่ชายแดนระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีในการรับราชการ ได้ปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศ ทั้งในภาคใต้และภาคเหนือ โดยยึดมั่นในการปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพและคนไทยทุกเชื้อชาติศาสนา เพื่อให้ประเทศอยู่ในความสงบ พร้อมย้ำว่าการรักษาอธิปไตยของชาติเป็นภารกิจสำคัญที่สุด แม้บางช่วงจะต้องชะลอการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และมุ่งสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน.