เมื่อเราเอ่ยถึง “โรคไต” ภาพจำของคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงภาวะ “ไตวายเรื้อรัง” ที่นำไปสู่การฟอกไตหรือล้างไตอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างไรก็ตามยังมีภัยคุกคามอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและอาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตซ่อนอยู่ในเงาของหอผู้ป่วยวิกฤต ภัยดังกล่าวคือ “ภาวะไตวายเฉียบพลัน” หรือ AKI (Acute Kidney Injury) ซึ่งภาวะนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิดและความรุนแรงของมันอาจทำให้เราต้องประหลาดใจ เพราะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีผู้ป่วยใน ICU ถึง 50% ที่ต้องเผชิญกับภาวะไตวายเฉียบพลัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้น 47% ของผู้ป่วยไตวายเฉียบพลันมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

เมื่อชีวิตของผู้ป่วยแขวนอยู่บนเส้นด้าย และอนาคตของผู้รอดชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น เราจะพลิกสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังนี้ได้อย่างไร? และเราจะเปลี่ยนสถิติที่น่ากลัวนี้ให้กลายเป็นความหวังได้อย่างไร?

ไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับบุคคลที่อยู่แถวหน้าของการต่อสู้กับ “ภาวะไตวายเฉียบพลัน” AKI ในภูมิภาคนี้ เพื่อถอดรหัสการต่อสู้กับภัยเงียบครั้งนี้ไปด้วยกัน

“ภาวะไตวายเฉียบพลัน” (AKI) ภัยเงียบที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และความหวังที่ซ่อนอยู่

เพื่อตอบคำถามที่ทิ้งไว้ เราได้พูดคุยกับ ศ.นพ.ณัฐชัย ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคไตในภาวะวิกฤต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และแพทย์ผู้ชำนาญการที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการรักษาผู้ป่วยภาวะไตวายเฉียบพลัน ของประเทศไทย

“โรคไตที่เราพูดถึงกัน เราแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือโรคไตวายเฉียบพลัน กับโรคไตเรื้อรัง” ศ.นพ.ณัฐชัย ศรีสวัสดิ์ เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมขยายความว่าภาวะไตวายเฉียบพลันนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน “จริงๆ ทุกคนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นตามอายุ และก็ตามโรคประจำตัวที่เขาเป็น เช่น โรคทางด้านหลอดเลือดและหัวใจ หรือว่าโรคติดเชื้อก็เป็นสาเหตุสำคัญหลักๆ”

ทว่าท่ามกลางความน่ากังวลนี้ยังมีความหวังซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่คุณหมอต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือภาวะไตวายเฉียบพลันนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้ในบางกรณี หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง

“ถ้าเราสามารถประคับประคองให้เขาผ่านจุดวิกฤตนี้ได้ ไตเขาก็มีโอกาสจะฟื้นตัวกลับมาไม่ต้องฟอกไต ไม่เหมือนโรคไตเรื้อรังที่ต้องฟอกไปตลอดชีวิต อันนี้เป็นอันที่ญาติส่วนใหญ่จะเข้าใจผิด พอเราพูดว่าต้องฟอกไต เขาจะนึกว่าต้องฟอกไปตลอดชีวิต ซึ่งเราก็ต้องอธิบายว่าอันนี้เนี่ยชั่วคราว ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้ก็จะฟื้นได้”

CRRT (การบำบัดทดแทนไตอย่างต่อเนื่อง) วิธีการรักษาภาวะไตวายเฉียบพลัน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตกลุ่มนี้คือร่างกายของพวกเขาเปราะบางอย่างยิ่ง คนไข้กลุ่มนี้อาจจะมีความดันต่ำ อาจจะมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะต่างๆ ดังนั้นการฟอกไตแบบปกติที่ใช้เวลาสั้นๆ จึงอาจรุนแรงเกินไป คำตอบจึงอยู่ที่การบำบัดทดแทนไตแบบต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง หรือ CRRT (Continuous Renal Replacement Therapy) ซึ่งจะเป็นไปในลักษณะของการค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ฟอกไตไปเรื่อยๆ ตลอด 24 ชม. เหตุนี้เทคโนโลยี CRRT จึงได้กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนเกมให้กับผู้ป่วยที่เผชิญภาวะไตวายเฉียบพลัน

ศ.นพ.ณัฐชัย เล่าให้เราฟังต่อว่าเทคโนโลยี CRRT นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่มีการคิดค้นมาแล้วกว่า 40 ปี อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาอันยาวนานเทคโนโลยีนี้ก็ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากแค่เพียงฟอกไตกลายเป็นเครื่องมือที่มีความครบวงจรยิ่งขึ้น สามารถป้องกันความเสี่ยงและช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรอบด้าน

“ในปัจจุบันอุปกรณ์พัฒนาขึ้นไปเยอะมาก ไม่ได้ซัปพอร์ตแค่เรื่องไต แต่บางครั้งเราใช้ตัวอุปกรณ์นี้ในการซัปพอร์ตเรื่องของภาวะติดเชื้อได้ด้วย หรือใช้ในการซัปพอร์ตในภาวะตับวายได้” นวัตกรรมในปัจจุบันสามารถกรองสารพิษในเลือด, ช่วยเหลือการทำงานของตับ หรือแม้กระทั่งช่วยแบ่งเบาภาระของปอดได้อีกด้วย สิ่งนี้เปรียบเสมือนการมอบ “อาวุธ” ที่ทรงพลังและหลากหลายให้กับทีมแพทย์ใน ICU เพื่อต่อสู้และประคับประคองผู้ป่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดไปให้ได้

ภารกิจ 12 ปี จากงานวิจัยสู่สิทธิ์การรักษาเพื่อคนไทยทุกคน

แม้ว่าเทคโนโลยี CRRT จะเป็นสิ่งที่มีมายาวนานในวงการแพทย์ แต่อุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งคือการนำมาใช้งานจริงในประเทศไทย ซึ่งหากย้อนไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เพียงแค่ที่ไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เราต่างมีข้อจำกัดสำคัญคล้ายๆ กันคือ “ความสามารถในการเข้าถึงของผู้ป่วย” ทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายที่อาจจะยังค่อนข้างสูง เรื่องของจำนวนอุปกรณ์ที่มีจำกัด ไปจนถึงจำนวนของบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่อาจจะยังไม่เพียงพอ

เพื่อจะก้าวข้ามกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างผู้ป่วยที่รอรับการรักษากับเทคโนโลยีที่มีโอกาสช่วยให้สามารถฟื้นฟูเป็นปกติได้นั้น ศ.นพ.ณัฐชัย ศรีสวัสดิ์ ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อจะเชื่อมโยงข้อมูลในมือและองค์ความรู้ท้องถิ่นไปสู่นวัตกรรมระดับโลก และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นนโยบายที่เอื้อต่อผู้ป่วยและจับต้องได้จริง

“เราเริ่มทำวิจัยตอนปี 2013 ก็ประมาณ 12 ปีมาแล้ว” คุณหมอเล่าถึงจุดเริ่มต้นของภารกิจครั้งใหญ่ที่ใช้ข้อมูลการระบาดวิทยาของโรคไตวายเฉียบพลันในไทย เป็นพื้นฐานในการทำงานร่วมกับสมาคมโรคไตฯ และ HITAP เพื่อผลักดันให้เกิดการเบิกจ่าย CRRT ในทุกสิทธิ์การรักษา และหลังจากความพยายามยาวนานเกือบทศวรรษ ความสำเร็จก็เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ทำให้อุปสรรคด้านค่าใช้จ่ายบรรเทาลง ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาที่ดีที่สุดได้ในกรณีที่จำเป็น และในปัจจุบันการเข้าถึงเครื่องมือ CRRT ก็ดีขึ้นมาก เพราะกองทุนสุขภาพต่างๆ เช่น สปสช., กรมบัญชีกลาง, และประกันสังคม เข้ามาสนับสนุนค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันการรักษาก็เริ่มกระจายไปสู่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลจังหวัดขนาดใหญ่แล้ว

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านพลังของความร่วมมือและการให้ความรู้

ทั้งนี้หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ความตั้งใจในการยกระดับการรักษาผู้ป่วยไตวายเฉียบพลันประสบความสำเร็จได้ คือพลังของ “ความร่วมมือ” ซึ่ง ศ.นพ.ณัฐชัย เน้นย้ำว่าเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ การทำงานร่วมกันระหว่างทีมแพทย์ไทยกับผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชนที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น Vantive (หนึ่งในผู้นำนวัตกรรมระดับโลกในการดูแลผู้ป่วยโรคไต) ที่ได้เข้ามาช่วยปลดล็อกข้อจำกัดและทำให้แนวทางการรักษาที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งพลังของความร่วมมือนี้ได้สร้างผลกระทบที่ชัดเจนใน 3 มิติหลัก

มิติแรก คือการยกระดับการดูแลผู้ป่วยด้วยนวัตกรรมโดยตรง เทคโนโลยี CRRT สมัยใหม่ที่ถูกนำเข้ามาใช้ในการฟอกเลือดสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย และทำให้การดูแลมีความต่อเนื่องมากขึ้น

มิติที่สอง คือการต่อยอดองค์ความรู้ผ่านการทำงานวิจัยร่วมกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่าง Vantive ได้เปิดโอกาสให้เกิดโครงการวิจัยใหม่ๆ เพื่อตอบคำถามที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ “ทาง Vantive จะมีโปรแกรมที่เราสามารถนำเสนอได้ว่าอยากที่จะทำงานวิจัยเพื่อค้นหาความรู้ใหม่ๆ เรื่องใด อันนี้เรียกว่า IIR Project (Investigator-Initiated Research Project) ซึ่งเป็นที่มาของความสำเร็จในงานวิจัยที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากมายในปัจจุบัน” คุณหมอเล่าถึงโอกาสในการสร้างสรรค์งานวิจัยชิ้นใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อติดตามผู้ป่วย AKI ที่รอดชีวิตในระยะยาวเป็นเวลา 2 ปี การวิจัยลักษณะนี้ช่วยสร้างความรู้ใหม่ที่นำไปสู่แนวทางการดูแลผู้ป่วยหลังออกจาก ICU ที่ดีกว่าเดิม

และมิติสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือการ “สร้างคน” ผ่านการให้ความรู้และฝึกอบรม เพราะแม้เทคโนโลยีจะดีเพียงใด หากขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญก็ไร้ความหมาย “เราทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อทำในเรื่องของ Education Program” คุณหมอเล่า “อย่างเช่นที่จุฬาฯ เรามีโปรแกรมเทรนนิ่งเรื่องการทำ CRRT ทุกปี เรามีการ Collaborate กับ Vantive ที่เข้ามาช่วยในการจัดทำพวก Workshop ให้กับบุคลากร เพราะเราเชื่อว่าการพัฒนาคนคือการสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง”

และภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของพลังแห่งความร่วมมือนี้ ก็คืองานประชุม “Asia Pacific AKI CRRT 2025” งานนี้คือเวทีระดับนานาชาติที่ทางสมาคมโรคไตฯ และสมาคมเวชบำบัดวิกฤตฯ ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งแพทย์และพยาบาล ได้มาเพิ่มพูนความรู้ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และที่สำคัญคือการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลก 25 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญของไทยกว่า 50 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง เพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันทั้งภูมิภาค

ลบภาพจำความกลัว เพื่อมอบโอกาสครั้งที่สองในชีวิต

แม้คำว่า “ไตวาย” และ “ต้องฟอกไต” อาจเป็นเหมือนคำตัดสินที่น่าหวาดหวั่นสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว เหตุเพราะมันคือภาพจำที่ผูกติดอยู่กับความเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด และอาจนำไปสู่การสูญเสียในไม่ช้า แต่ท่ามกลางความกังวลใจนั้นคือความจริงอีกด้านที่ ศ.นพ.ณัฐชัย ศรีสวัสดิ์ ต้องการสื่อสารและสร้างความเข้าใจใหม่ที่ถูกต้องที่สุด

คุณหมอย้ำอย่างหนักแน่นว่าการฟอกไตในผู้ป่วยไตวายเฉียบพลันนั้น “เป็นการรักษาชั่วคราว” มันคือภาวะวิกฤตที่รุนแรงถึงชีวิตก็จริง แต่หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกวิธี มันคือการต่อสู้ที่มีเส้นชัยรออยู่ ผู้ป่วยบางรายมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้

การลบภาพจำที่น่ากลัวนี้ทิ้งไป คือการเปิดประตูแห่งความหวัง ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีกำลังใจที่จะต่อสู้ เพราะปลายทางของการรักษาที่ถูกวิธี ในบางกรณีอาจฟื้นฟูการทำงานของไตได้บางส่วน และอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพา เครื่องฟอกไตไปตลอดชีวิต

ท้ายที่สุดแล้ว เบื้องหลังเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและภารกิจการวิจัยที่ยาวนาน เป้าหมายสูงสุดของทีมแพทย์ทุกคนนั้นเรียบง่ายและมีความหมายอย่างยิ่ง นั่นคือการทำให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะกลุ่มคนอายุน้อยวัยทำงาน สามารถรอดชีวิตจากภาวะวิกฤตและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง นี่ไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่คือการมอบโอกาสครั้งที่สองในชีวิตให้กับผู้ป่วยและครอบครัว