11 คนไทยถูกเจ้าหน้าที่บุกช่วยเหลือ รับสารภาพตรงกันถูกชักชวนทำงานผ่านเพจ "ทำงานที่บ้าน" อ้างมีรายได้สูง พบ 1 คน มีหมายจับติดตัว ส่งตำรวจจัดการตามขั้นตอน
เมื่อวันที่ 14 ต.ค. เวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีการช่วยเหลือคนไทย 11 ราย ที่ถูกหลอกลวงเตรียมข้ามแดนไปทำงานในฝั่งประเทศกัมพูชา โดยอ้างว่าจะได้ทำงานรายได้สูง หลังได้รับแจ้งข้อมูลและเบาะแสจากพลเมืองดีจนนำไปสู่การบุกช่วยเหลือเมื่อวาน
โดยตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ทหารกองกำลังบูรพา สนธิกำลังเข้าทำการตรวจค้น โดยปรากฏรายชื่อผู้ที่อยู่ภายในบ้านเป้าหมาย คือ 1. น.ส.วิภาสิริ อายุ 27 ปี 2. น.ส.รุ่งทิวา อายุ 19 ปี 3. นายธวัฒชัย อายุ 19 ปี 4. นายอาตา อายุ 22 ปี 5. นายสามารถ อายุ 31 ปี 6. นายกิตติศักดิ์ อายุ 21 ปี 7. นายณัฐรินทร์ อายุ 31 ปี 8. น.ส.ปริญญา อายุ 24 ปี 9. นายธนพล อายุ 26 ปี 10. นายจีระศักดิ์ อายุ 25 ปี และเยาวชนหญิงอายุ 18 ปี
จากการสอบปากคำเกือบทุกคนบอกว่า ได้ค้นหางานผ่านเฟซบุ๊ก และพบเพจชื่อ “ทำงานที่บ้าน” ซึ่งมีข้อมูลระบุว่ามีงานในประเทศกัมพูชา รายได้เดือนละประมาณ 20,000–25,000 บาท พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ให้ติดต่อ เมื่อผู้เสียหายติดต่อไป ก็ได้รับการนัดหมายให้เดินทางมาพบกันที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยแต่ละคนเดินทางมาถึงในช่วงบ่ายถึงค่ำของวันเดียวกัน ณ จุดนัดหมายต่าง ๆ เช่น สถานีขนส่งผู้โดยสารอรัญประเทศ และสถานีรถไฟอรัญประเทศ
...
จากนั้นมีชายชาวไทยไม่ทราบชื่อขับรถกระบะไปรับตามจุดนัดหมาย แล้วพามารวมตัวกันที่บ้านหลังเกิดเหตุ เพื่อรอข้ามแดนไปทำงานในฝั่งกัมพูชา ระหว่างรอ หนึ่งในผู้เสียหายเกิดความสงสัยว่าข้อเสนออาจเป็นการหลอกลวง จึงโทรศัพท์แจ้งญาติให้ช่วยติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนนำไปสู่การเข้าช่วยเหลือในที่สุด ส่วนเจ้าของบ้าน และผู้ดูแลบ้านไหวตัวทัน หลบหนีไปก่อนเจ้าหน้าที่เข้าถึง
ตรวจสอบประวัติทุกคนพบว่ามีหนึ่งรายมีหมายจับค้างอยู่ในคดีอื่น จึงได้ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนทางคดีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการสืบสวนหาตัวผู้ต้องสงสัยที่พากลุ่มผู้เสียหายมารวมตัวกัน รวมถึงตรวจสอบเครือข่ายในสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเพจ “ทำงานที่บ้าน” ว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ามนุษย์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มักล่อลวงคนไทยไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน
พล.ต.ต.ถาวร ดุลยวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายตำรวจและทหาร เพื่อเร่งรัดการสืบสวนขยายผล
โดยระบุว่า "กรณีนี้ถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และประชาชนที่แจ้งเบาะแสได้ทันท่วงที ทำให้สามารถช่วยเหลือคนไทยได้ก่อนที่จะถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งอาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือการค้ามนุษย์" พร้อมสั่งการให้ทุกสถานีตำรวจในพื้นที่ชายแดน เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมชักชวนคนไทยไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ผ่านช่องทางที่ถูกต้อง
พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อโฆษณางานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง เบื้องต้นส่งผู้เสียหายเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยานและตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคัดแยกว่ามีผู้ใดตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอื่นหรือไม่.