อยุธยาน้ำท่วมขยายวงกว้าง 8 อำเภอ ประชาชนได้รับผลกระทบ 31,227 ครัวเรือน “แม่น้ำป่าสัก” เพิ่มการระบายต้องเฝ้าระวัง เตือนการเดินเรือสินค้า


วันที่ 21 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ยังคงระบายน้ำในอัตรา 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 5 ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่าน จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแม่น้ำน้อยและคลองสาขาต่าง ๆ ระดับน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนหลายพื้นที่ ขยายวงกว้างรวม 8 อำเภอ ได้แก่ บางบาล เสนา ผักไห่ บางไทร บางปะอิน พระนครศรีอยุธยา มหาราช และบางปะหัน ครอบคลุม 103 ตำบล 626 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 31,227 ครัวเรือน

โดยน้ำได้ไหลเข้าท่วม มัสยิด 1 แห่ง วัด 19 แห่ง ถนนในชุมชนถูกน้ำท่วม 21 สาย สถานที่ราชการ 6 แห่ง โรงเรียน 14 แห่ง โดยมี 1 โรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราว คือ โรงเรียนวัดตะกู อ.บางบาล เนื่องจากถูกน้ำท่วมสูง

ล่าสุดกรมชลประทานได้ออกประกาศแจ้งเตือนว่า สถานการณ์น้ำของแม่น้ำป่าสัก ว่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีการปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 450–500 ลบ.ม./วินาที เพื่อรองรับปริมาณน้ำ ส่งผลให้เขื่อนพระราม 6 อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องระบายน้ำลงท้ายเขื่อนในอัตรา 450–550 ลบ.ม./วินาที ระหว่างวันที่ 20–23 กันยายน 2568 ซึ่งการระบายน้ำดังกล่าวจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันราว 1.30 เมตร อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง–วิกฤต

...

มวลน้ำจากแม่น้ำป่าสักที่ไหลบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสามแยกแม่น้ำหน้าวัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้เกิดกระแสน้ำวนเชี่ยวแรง เรือยนต์ลากจูงที่ต้องพาเรือบรรทุกสินค้าผ่านบริเวณดังกล่าว จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ลดจำนวนเรือบรรทุกสินค้าในขบวน และเพิ่มเรือยนต์ลากจูงเป็น 5 ลำ เพื่อความปลอดภัย พร้อมกำชับให้คนขับเรือและพนักงานทุกคนสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลา

สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาอยุธยาได้แจ้งให้ผู้ประกอบการขนส่งทางน้ำ ท่าเทียบเรือ และคนประจำเรือ เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์น้ำ หากระดับน้ำเพิ่มสูงจนถึงขีดจำกัด อาจต้องมีมาตรการหยุดการจราจรทางน้ำชั่วคราว

นายพีรธร นาคสุข ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาอยุธยา ระบุว่า ขณะนี้การระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,200 ลบ.ม./วินาที หากมีการเพิ่มขึ้นเกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที จะสั่งหยุดการจราจรทางน้ำ และงดการขนส่งเพื่อความปลอดภัย พร้อมกำชับให้เรือลากจูงในแม่น้ำเจ้าพระยาใช้ความระมัดระวัง โดยได้ปรับรูปแบบการเดินเรือใหม่ ขาขึ้นให้เหลือ 3 พ่วง ส่วนขาล่องเป็นเรือเบาเพื่อหลีกกัน

ด้านการควบคุมการจราจรทางน้ำ เจ้าหน้าที่ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตามท่าเทียบเรือต่าง ๆ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำดูแลความปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเลิกเรียน ที่มีเด็กนักเรียนใช้บริการเรือข้ามฝาก เนื่องจากกระแสน้ำเชี่ยวแรงมากขึ้น จึงต้องเฝ้าระวังและดูแลอย่างเข้มงวด.