บนความรับผิดชอบของรัฐบาล ภาระที่กำลังหนักอึ้ง และเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเคลียร์กับสังคมให้ชัดก็คือปัญหาเรื่อง ค่าเงินบาทแข็ง กับความลับที่ซ่อนอยู่ใต้พรม
ตามปกติ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ มักจะอ้างทุกครั้งว่า เงินบาทแข็งค่าเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (สรอ.) อ่อนค่าลง และยังเป็นไปตามการแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาค
แต่ทุกครั้งค่าเงินบาทมักจะแข็งติดยอดดอยจนขึ้นทำเนียบของค่าเงินที่แข็งที่สุด 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 5 ของประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคเอเชีย และในโลกเสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจการเมืองไทยจะบ้อท่า หมดความสามารถในเกือบทุกด้าน ทั้งหนี้สินครัวเรือน หนี้สาธารณะ แหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยแพง กระสุนที่มีไม่เพียงพอ รายจ่ายที่มากกว่ารายรับ และความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลงจนเวียดนามที่อยู่หลังไทยไป 30 ปีแซงหน้าไปฉลุยแล้ว
ยังไม่นับว่า มีการทำสงครามย่อมๆ ที่ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตไป 18 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่ทหารเขมรตายไปกว่า 2,000 นาย
ค่าเงินบาทที่ต้นปี 2568 อยู่ที่ระดับราว 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กลับแข็งค่าขึ้นตามดีกรีความวุ่นวายทางการเมือง สงคราม และเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศ กระทั่งในช่วงสองสามวันมานี้ ณ วันที่ 18 ก.ย. 2568 มาอยู่ที่ 31.65 บาท
เกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกมาโยนระเบิดลงกลางวง เพื่อทวงถามความรับผิดชอบของแบงก์ชาติต่อการที่ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้นอย่างผิดปกติ จนกระทบต่อการส่งออกของประเทศ ด้วยการเปิดเผยว่า ช่วงระหว่างเกิดข้อพิพาทของไทยกับเขมร กลับมีการส่งทองคำไปขายยังเขมรสูงถึงกว่า 60,000 - 70,000 ล้านบาท และนั่นเป็นเหตุทำให้เงินบาทแข็งค่าใช่หรือไม่?
...
ยังมีข้อสงสัยตามมาด้วยว่า ประเทศยากจนอย่างเขมร ซึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์ เหตุใดจึงมีความต้องการทองคำมากขนาดนี้ และกรณีนี้ถือว่า เป็นการฟอกเงินหรือไม่?
แบงก์ชาติไม่ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ นอกจากแสดงความขวยเขินด้วยการเรียกสมาคมผู้ค้าทองคำในประเทศไปหารือ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า สมาคมเป็นแค่ผู้ค้ามีคำสั่งซื้อมาก็ขายออกไป...แล้วยังไงต่อ!!
มีผู้เสนอให้ ดึงตัวเลขส่งออกทองคำออกจากมูลค่ารวมการส่งออก อ้างว่าเพื่อให้เห็นข้อมูล และตัวเลขการค้าที่แท้จริง...นี่มันใช่หรือ? สำคัญคือ ไม่มีหน่วยงานใดแสดงท่าทีจะตรวจสอบว่า การค้าที่เกิดขึ้นนี้ มีการฟอกเงิน หรือ เอาเงินสีเทา และสีดำ เข้ามาในประเทศหรือไม่ และมากน้อยขนาดไหน
ขณะที่ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การส่งออกทองคำใน 7 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวสูงถึง 68.47% คิดเป็นมูลค่า 254,073 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกอันดับหนึ่งคือ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 137.05% คิดเป็นมูลค่า 108,145 ล้านบาท
รองลงมาคือ เขมร หรือ กัมพูชา จากการส่งออกในปี 2566 ที่มูลค่า 12,562 ล้านบาท ในปี 2567 ขยายตัวสูงถึง 743.66% คิดเป็นมูลค่า 105,928 ล้านบาท ส่วน 7 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 19.15% ด้วยมูลค่า 71,312 ล้านบาท
น่าสงสัยไหมว่า ไอ้ศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ที่รายได้หลักมาจากการหลอกลวงคนไทย คือ ตัวการสำคัญในการแปลงเงินบาทที่หลอกมาได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท แปลงเป็นเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) จากนั้น เอามาซื้อทองคำแล้ว ฟอกกลับมาเป็นเงินบาทอีกทอด เหมือนกับการซื้อน้ำมันเถื่อน นั่นปะไร!
ทีนี้กลับมาดูกันว่า พิษจากค่าเงินบาทแข็ง ทำให้เกิดผลอย่างไรต่อการส่งออกของประเทศ…
สภาอุตสาหกรรมฯ ระบุว่า ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น เท่ากับเม็ดเงินที่จะนำมาใช้สอยในประเทศหายไปเฉลี่ยเดือนละ 22,000 - 23,000 ล้านบาท ถ้าต้นปี 2568 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาถึงปัจจุบันค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 31.70 บาท หรือแข็งค่าขึ้น 2.80 บาท เท่ากับเงินบาทในระบบหายไปเดือนละ 61,600 บาท
สำหรับมูลค่าการส่งออกรวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 เฉลี่ยค่าเงินบาทที่ระดับ 33.85 บาท(จากต้นปีที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ค่อย ๆ แข็งค่าขึ้นตามลำดับ) ทำให้การส่งออกรวมขยายตัว 4.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 5,647,936.82 ล้านบาท (166,851.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เทียบกับครึ่งหลังของปี 2568 ที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวที่ระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากมูลค่าการส่งออกยังคงขยายตัวเท่ากับครึ่งแรกของปี 2568 หรือราว 166,851.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะได้เงินบาทกลับมาเพียง 5,289,205.23 ล้านบาท หรือทำให้รายได้จากการส่งออกในรูปเงินบาทหายไปสูงถึง 358,000 ล้านบาท
เอาล่ะ ทีนี้มาดูว่า ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ขึ้นทำเนียบไปติดยอดดอยอยู่ที่อันดับเท่าใด…
เริ่มจาก ดอลลาร์ไต้หวัน แข็งขึ้นไป +8.1% ดอลลาร์สิงคโปร์ +6.51% เงินวอนเกาหลีใต้ +6.47% ริงกิตมาเลเซีย +6.2% ส่วนเงินบาทไทย +7.5% (34.50 - 31.70 บาท)
ในขณะที่เงินเยนญี่ปุ่น +6.9 (146.99 - 157.20 เยน) เปโซฟิลิปปินส์ +1.7 เงินรูปีของอินเดีย -2.8 เงินหยวนจีน +2.4 เงินดองเวียดนาม -3.4 และเงินรูเปียห์อินโดฯ -2.1
กลับมาค้นหา “ความลับ” ที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาตลอดกันดีกว่า ก็อย่างที่รู้ๆ กัน แต่ไม่เคยมีใครแก้ปัญหา ก็เพราะประเทศไทยยังเต็มไปด้วยมาเฟียทางการเมือง และอิทธิพลที่อยู่นอกระบบจำนวนมาก ซึ่งอยู่เหนือระบบการชำระเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ และกระทรวงการคลัง
...
ในบัญชีดุลการชำระเงินของแบงก์ชาติ เทียบรายปี 2565 , 2566 และ 2567 พบว่า มีเงินที่อยู่นอกระบบดุลการค้า ดุลบริการ เงินทุนเคลื่อนย้ายที่คลาดเคลื่อนสุทธิอยู่จำนวนมหาศาล...
นับจากปี 2565 ซึ่งมีเงินที่คลาดเคลื่อนสุทธิ -2,528.18 ล้านบาท, ดุลการชำระเงิน -367,316.12 ล้านบาท เท่ากับสินทรัพย์เงินสำรองระหว่างประเทศ -367,316.12 ล้านบาท
ส่วนปี 2566 มีเงินที่นับแล้วพบความคลาดเคลื่อนสุทธิเป็นบวก 180,404.36 ล้านบาท , ดุลการชำระเงิน 85,890.55 ล้านบาทเท่ากับสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศ 85,890.55 ล้านบาท
และสำหรับปี 2567 มีเงินที่นับแล้วพบความคลาดเคลื่อนสุทธิเป็นบวกสูงถึง 530,855.49 ล้านบาท, ดุลการชำระเงิน 436,064.30 ล้านบาท เท่ากับสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศ 436,064.30 ล้านบาท
แบงก์ชาติให้คำนิยามเรื่องการเงินนอกระบบว่า ไม่ได้หมายความถึงหนี้นอกระบบอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงแชร์ลูกโซ่ การระดมทุน หรือการใช้เงินในการทำธุรกิจที่ไม่อยู่ภายใต้ระบบการควบคุมกำกับดูแลของทางราชการซึ่งเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพที่มักจะแฝงตัวเข้าไปหลอกเงินจากเหยื่อในรูปแบบต่างๆ
เรื่องนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เคยทำวิจัยไว้ในปี 2567 เรื่องธุรกิจสีเทา หรือธุรกิจนอกระบบที่ไม่ได้ถูกบันทึกบัญชีไว้ในประเทศไทย ตั้งแต่การพนันออนไลน์ การค้าของเถื่อน รวมถึงการค้าประเวณี ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งพบว่ามีมูลค่ามากถึง 40% ของจีดีพีประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18 - 20 ล้านล้านบาท
ถ้าคิดมูลค่า 40% ของจีดีพีประเทศก็เท่ากับ ธุรกิจนอกระบบจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 8 ล้านล้านบาททีเดียว
เงินสีเทา หรือเงินนอกระบบเหล่านี้ น่าจะรวมเงินจำพวกที่พูดกันบ่อยๆว่า ร้อยโล หรือ เงินใส่ถุงขนม กับเงินที่เอาไปใช้ซื้อกล้วยในสภา ไม่ก็ฝังอยู่ตามฝาผนังของบ้านนักการเมือง หรือมาเฟียผู้ทรงอำนาจ และอิทธิพล
...
ทางเดียวที่มีผู้เสนอให้แก้ปัญหาเรื่องนี้เหมือนที่รัฐบาลประเทศอื่นๆ ทำอยู่เป็นประจำก็คือ เผาธนบัตรเก่า แล้วพิมพ์ธนบัตรใหม่ขึ้นมาใช้...
น่าจะลดความ คลาดเคลื่อนในการคำนวณปริมาณเงินในระบบได้บ้างไม่มากก็น้อย ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพื่อให้พวกนอกระบบเสวยสุข และต่อยอดจากเงินนอกระบบนี้ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน!!