นายกสมาคมการค้าฯ จันทบุรี ให้ความเห็นเรื่อง "เปิดด่าน" ชี้ ไม่ได้ทำให้ไทยเสียอธิปไตย อยากให้เข้าใจในพื้นที่จันทบุรี-ตราด ไม่ได้มีความขัดแย้ง แต่เสียหายหนัก เรื่องการค้าและท่องเที่ยว ด้านชาวบ้านยินดีหากเปิดเพื่อแก้ปัญหาแรงงาน แต่มองกัมพูชา ยังเชื่อถือไม่ได้

วันที่ 11 กันยายน 2568 ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย – กัมพูชา จันทบุรี แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการประชุมคณะกรรมการการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย – กัมพูชา หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในข้อตกลง 5 ข้อ โดยในข้อสุดท้าย เป็นเรื่องการผ่อนปรนให้มีการผ่านแดนบางประเภทและบางจุด ระหว่างที่สถานการณ์ยังไม่เป็นปกติ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการขนส่งข้ามแดน โดยได้มอบหมายให้กลไก RBC ไปหารือความเป็นไปได้ ในการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้า ผ่านจุดผ่านแดนบางจุด ที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง โดยอาจเริ่มดำเนินการที่จุดผ่านแดนตามแนวชายแดนจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด ซึ่งในส่วนของจังหวัดจันทบุรี มีจุดผ่านแดนถาวร 2 แห่ง ใน อ.โป่งน้ำร้อน คือที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ต.เทพนิมิต และจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ต.คลองใหญ่

...

โดย ดร.รัฐวิทย์ เผยว่า มองว่าเป็นความสำเร็จของฝ่ายความมั่นคง ซึ่งมีการพูดคุยกันหลายมิติ โดยประเด็นสำคัญคือเรื่องการเปิดด่าน ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือการสู้รบที่รุนแรง ในระดับพื้นที่ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างยาวนาน ทั้งทางด้านฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครอง ภาคเอกชน ภาคท้องถิ่น และท้องที่

ก็อยากให้คนไทยที่อยู่ต่างจังหวัด ได้เข้าใจในบริบทว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดภาคอีสาน ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 และในการสู้รบที่เขาพระวิหารเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ทางด้านภาคตะวันออกก็ไม่ได้มีการปิดด่าน เปิดด่านได้ปกติ การเปิดด่านไม่ได้ทำให้เราเสียอธิปไตย แต่เป็นเพียงความรู้สึกที่เรารู้สึกโกรธเคืองกัมพูชาที่ทำอะไรลงไปแล้วเกิดความเสียหาย เราต้องแยกแยะ ซึ่งจนถึงขณะนี้ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด เสียหายเรื่องการท่องเที่ยว เสียหายเรื่องการค้า โดยเฉพาะภาคเกษตร ขอให้คนต่างจังหวัดได้เข้าใจ

ด้าน นายอุกฤษฏ์ วงษ์ทองสาลี ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี เผยว่า ผลจากการประชุม GBC ไทย–กัมพูชา เมื่อวานนี้ ภาคเอกชนพร้อมให้การสนับสนุนกองทัพ และรัฐบาลชุดใหม่ เรื่องผ่อนปรนให้มีการผ่านแดนบางประเภทบางจุด ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ผ่านการใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ที่ต้องไปหารือความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ ซึ่งผลจะออกมาเป็นเช่นไร ทางหอการค้าได้มีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ ก็พร้อมให้การสนับสนุน และอยากให้รัฐบาลชุดใหม่มีแอคชั่น มีความจริงใจในการแก้ปัญหาตามแนวชายแดนให้มากกว่านี้ แต่ต้องเอาความมั่นคงของชาติเป็นหลักเป็นที่ตั้ง และต้องมีความชัดเจนก่อน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ว่าปัญหาต่างๆ จะไม่ย้อนกลับมาเกิดซ้ำอีก หลังจากเปิดด่านไปแล้ว

ด้าน นายสมคิด เนี่ยมจันทร์ อายุ 64 ชาวบ้านสอยดาว จ.จันทบุรี ให้ข้อมูลว่า ตนเองมีความยินดีถ้าหากจะมีการเปิดด่าน เพื่อที่จะได้มีแรงงานไว้ใช้ เนื่องจากอำเภอสอยดาวยังคงต้องการแรงงานชาวกัมพูชาเพื่อเก็บลำไย เนื่องจากชาวกัมพูชามีความชำนาญในเรื่องของการเก็บลำไยดีกว่าชาวไทย หรือแรงงานทดแทนอื่น ถ้าหากเปิดด่านจริง เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนในเรื่องคำพูดของกัมพูชาที่จะถอนอาวุธ คงเชื่อไม่ได้ อาจจะมีถอนบ้างเป็นบางส่วน แต่จุดที่ไม่เห็นยังมีอีกเยอะ กัมพูชาเชื่อไม่ได้ มีนิสัยสันดานหักหลังตลอด ตั้งแต่บรรพบุรุษเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ตอนนี้อยากให้เปิดแก้ปัญหาเฉพาะแรงงานก่อน ส่วนในเรื่องปัญหาการบริหารการเมืองหรือทางทหาร ต้องให้ฝ่ายทหารเป็นผู้จัดการต่อไป