ผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “เฟคนิวส์/ข่าวปลอม” Facebook คือแหล่งเผยแพร่ข่าวปลอมยอดนิยม คนไทยส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการรับและแชร์ข่าวปลอม ที่สำคัญยังขาดความเข้าใจในการจัดการข่าวปลอมที่ถูกต้อง
ผศ. ดร. สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพเปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2568 จากจำนวน 1,029 ตัวอย่าง จากกลุ่มตัวอย่างทุกภูมิภาคทั่วประเทศในประเด็น “เฟคนิวส์/ข่าวปลอม” ต่อข้อคำถาม
ท่านรับข่าวสารจากแพลตฟอร์มใดบ่อยที่สุด พบว่ารับทราบข่าวสารดังกล่าวจากแหล่งข่าว Facebook ร้อยละ 45.50 TikTok ร้อยละ 18.20 YouTube ร้อยละ 13.60 Line ร้อยละ 9.10 Twitter (X) ร้อยละ 4.50 Instagram ร้อยละ 4.30 เว็บไซต์ข่าว ร้อยละ 2.30 โทรทัศน์ (ช่องข่าว/ช่องทั่วไป) ร้อยละ 2.30 และอื่นๆ เช่นคำบอกเล่า ร้อยละ 2.20
ท่านเข้าใจว่า "ข่าวปลอม" (Fake News) คืออะไร พบว่าส่วนใหญ่คิดว่าข่าวปลอมคือ ข่าวจริงที่ถูกบิดเบือน/ตัดต่อ ร้อยละ 63.60 ข่าวที่ถูกแต่งขึ้นทั้งหมด ร้อยละ 54.50 ข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ร้อยละ 47.70 ข่าวโฆษณาชวนเชื่อ ร้อยละ 25.00 ข่าวเสียดสี/ตลก (Satire) ร้อยละ 11.40 และไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ ร้อยละ 4.50
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ท่านคิดว่าตนเองพบเจอข่าวที่สงสัยหรือภายหลังรู้ว่าเป็นข่าวปลอมบ่อยแค่ไหน? พบว่ารับทราบข่าวปลอม บ่อยมาก (เกือบทุกวัน) ร้อยละ 45.50 บ่อย (อาทิตย์ละครั้ง) ร้อยละ 31.80 นานๆ ครั้ง (เดือนละครั้ง) ร้อยละ 18.20 และไม่ค่อยได้พบเห็น ร้อยละ 4.50
ปัจจัยใดที่ทำให้ท่านสงสัยว่าข่าวหนึ่งๆ อาจเป็น "ข่าวปลอม" พบว่าข้อสังเกตหลักที่สันนิษฐานว่าจะเป็นข่าวปลอมคือ ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน ร้อยละ 52.30 แหล่งข่าวไม่น่าเชื่อถือ/ไม่รู้จัก ร้อยละ 50.00 เนื้อหาดูเกินจริง/น่าตกใจเกินไป ร้อยละ 47.70 เนื้อหาขัดกับข้อเท็จจริงที่รู้มา ร้อยละ 38.60 ถูกแชร์มาจากบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ ร้อยละ 29.50 มีรูปภาพ/วิดีโอที่ดูแปลกๆ/ตัดต่อ ร้อยละ 27.30 ตัวสะกด/ภาษาใช้ผิดปกติ ร้อยละ 15.90 ไม่ค่อยสงสัย / เชื่อตามที่เห็น ร้อยละ 4.50
เมื่อสงสัยว่าข่าวอาจเป็นข่าวปลอม ท่านมักจะทำอย่างไร พบว่าเมื่อพบว่าข่าวปลอมนั้นน่าสงสัยจะตรวจสอบจากแหล่งข่าวอื่นที่น่าเชื่อถือ ร้อยละ 52.30 ไม่ทำอะไร ปล่อยผ่าน ร้อยละ 15.90 ค้นหาใน Google / ดูข้อมูลเพิ่ม ร้อยละ 13.60 แจ้งลบ/รายงานข่าวปลอมในแพลตฟอร์ม ร้อยละ 11.40 ถามความคิดเห็นจากเพื่อน/คนในครอบครัว ร้อยละ 4.50 และอื่นๆ ร้อยละ 2.30
โดยเฉลี่ยแล้ว ท่านตรวจสอบความถูกต้องของข่าวสารก่อนแชร์ต่อบ่อยแค่ไหน? พบว่าตรวจสอบเกือบทุกครั้งก่อนแชร์ ร้อยละ 65.90 ตรวจสอบบางครั้งเท่านั้น ร้อยละ 18.20 ตรวจสอบบ่อยครั้ง ร้อยละ 9.20 ไม่ค่อยได้ตรวจสอบ ร้อยละ 4.50 และไม่เคยตรวจสอบเลย / แชร์ทันทีที่สนใจ ร้อยละ 2.30
เหตุผลหลักที่ท่านแชร์ข่าวสาร พบว่าเหตุผลในการแชร์ข่าว เชื่อว่าข่าวนั้นจริงและเป็นประโยชน์ ร้อยละ 43.20 ต้องการเตือนภัย/แจ้งให้คนอื่นรู้ ร้อยละ 34.10 ถูกขอให้แชร์ต่อ (เช่น ในกลุ่มไลน์) ร้อยละ 6.80 ต้องการแสดงจุดยืน/ความคิดเห็น ร้อยละ 4.50 แชร์โดยไม่ได้คิดมาก ร้อยละ 4.50 และอื่นๆ เช่นความสนุก ความสะใจ ร้อยละ 2.40
ท่านเคยแชร์ข่าวที่ภายหลังพบว่าเป็นข่าวปลอมหรือไม่? พบว่าเคยร้อยละ 79.50 และไม่เคย ร้อยละ 20.50
เมื่อทราบภายหลังว่าเป็นข่าวปลอม ท่านรู้สึกอย่างไร และทำอย่างไร? พบว่าเมื่อทราบว่าเป็นข่าวปลอมจะลบโพสต์/แชร์นั้นออก ร้อยละ 55.60 แชร์ข้อความแก้ไข/ขอโทษ ร้อยละ 22.20 แจ้งเตือนคนที่แชร์ต่อจากท่าน ร้อยละ 16.70 และไม่ได้ทำอะไรต่อ ร้อยละ 5.50
ท่านคิดว่าใครหรือหน่วยงานใดควรมีบทบาทสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม? พบว่าหน่วยงานที่ควรมีบทบาทมากที่สุดคือ หน่วยงานรัฐ (เช่น กสทช., กระทรวงดิจิทัล, กระทรวงวัฒนธรรม) ร้อยละ 63.60 สื่อมวลชน (นักข่าว/กองบรรณาธิการ) ร้อยละ 40.90 แพลตฟอร์มออนไลน์ (Facebook, YouTube, Line ฯลฯ) ร้อยละ 38.60 สถาบันการศึกษา (สอนการรู้เท่าทันสื่อ) ร้อยละ 29.50 ประชาชน (ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย) ร้อยละ 27.30 องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checkers) ร้อยละ 27.30 และอื่นๆ เช่น ผู้ปกครอง ร้อยละ 2.30
ท่านรู้จักหรือเคยใช้บริการขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checkers) ในไทย ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยหรือไม่ พบว่าไม่รู้จักเลย ร้อยละ 47.80 รู้จักแต่ไม่เคยเข้าไปดู ร้อยละ 38.60 และรู้จักและเคยเข้าไปดูงานของพวกเขา ร้อยละ 13.60 ผศ.ดร.สานิตกล่าว