ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เผยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มคลี่คลาย เตรียมทยอยส่งประชาชนกลับพื้นที่ พร้อมจัดรถรับส่ง เน้นกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ คาดใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 สิงหาคม 2568 นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ภายหลังมีแถลงการณ์จากคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) โดยระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์ในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย แต่ยังต้องมีการหารือร่วมกับหลายฝ่ายก่อนจะสามารถตัดสินใจได้อย่างแน่ชัดว่าประชาชนสามารถกลับเข้าพื้นที่ได้ทั้งหมดหรือไม่
จากการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน พบว่า อำเภอสังขะมีบางพื้นที่ได้รับผลกระทบ แต่สถานการณ์ขณะนี้สงบแล้ว สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เต็มที่ ขณะที่อำเภอกาบเชิงซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุรุนแรง ปัจจุบันสามารถฟื้นฟูและกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เช่นกัน ส่วนอำเภอปราสาทมี 3–4 ตำบลที่ได้รับผลกระทบบางจุด และมีความเสียหายเล็กน้อย ซึ่งอยู่ในระหว่างการเร่งปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ
สำหรับอำเภอพนมดงรักมีบางพื้นที่สามารถให้ประชาชนทยอยกลับได้ ยกเว้นตำบลตาเมียงและตำบลบักได ซึ่งยังคงมีการตรึงกำลังของทหารอยู่ และจะมีการประชุมประเมินสถานการณ์เพิ่มเติมในช่วงบ่ายวันนี้
นายชำนาญกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางจังหวัดได้เตรียมความพร้อมในการเคลื่อนย้ายประชาชนกลับภูมิลำเนา โดยประสานงานกับศูนย์พักพิงและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมจัดรถรับส่งและทีมสนับสนุน โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2–3 วันในการทยอยส่งประชาชนกลับพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
ด้านมาตรการความปลอดภัย จังหวัดยังคงดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิดอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการจัดทำหลุมหลบภัยจากงบประมาณบริจาค ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการรองรับที่วางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุความไม่สงบ โดยคาดว่าภายในไม่กี่วันข้างหน้าจะสามารถประกาศสิ้นสุดสถานการณ์ภัย และเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู บูรณะ และเยียวยาอย่างเป็นระบบ แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของระเบียบราชการ แต่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ยังกล่าวถึงข้อเสนอที่ต้องการสะท้อนถึงรัฐบาลว่า สถานการณ์ที่ยืดเยื้อนานกว่า 15 วัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เช่น ผู้ที่ปลูกอ้อย ยางพารา และผลไม้ จึงขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือด้านรายได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนของประชาชนในพื้นที่โดยเร็วที่สุด
...