อ่านแค่ชื่อหนังสือ “พิชัยสงครามของซุนจื่อ” และ “36 กลยุทธ์” ผมจำได้มีอยู่แล้วหลายๆ เล่ม แต่ชื่อธนานันท์ วงศ์บางพลู ผู้เรียบเรียง ไม่เพียงเป็นชื่อใหม่ ปี พ.ศ.2568 ที่สำนักพิมพ์แสงดาว พิมพ์ครั้งแรกก็บอกว่าเนื้อหาในหนังสือล้วนใหม่ก็ใช่เลย เราก็ควรลองของใหม่คำนำภาค 36 กลยุทธ์บอก ตามประวัติไม่มีการระบุชื่อผู้แต่ง แต่ก็พอรู้กันว่า ชื่อนี้ปรากฏครั้งแรก ในบันทึกประวัติศาสตร์ของแคว้นหนานฉี (ค.ศ.479-502) ระหว่างความวุ่นวายในการเข่นฆ่าแย่งชิงอำนาจหลายฝ่ายมีคำพูดประโยคหนึ่ง “เซียว เป้าจ่วน คงใช้กลยุทธ์ที่ 36 ของถานเต้าจี้ที่กล่าวว่าหลบหนีเป็นสุดยอดกลยุทธ์”คนรุ่นหลังๆยืนยันได้เพียงพบ 36 กลยุทธ์นี้ครั้งแรกที่มณฑลส่านซี ประเทศจีน เป็นสมุดปกอ่อน เขียนด้วยลายมือ ไม่ทราบนามผู้เขียน หรือช่วงเวลาที่เขียน แต่พอคาดเดาอายุได้ว่า เขียนขึ้นปลายสมัยราชวงศ์หมิงส่วนที่นำเผยแพร่จนแพร่หลาย โดยหนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ค.ศ.1961มีการกล่าวถึงกลยุทธ์การรบที่เหมา เจ๋อตง กับจูเต๋อใช้ในสงครามกลางเมือง ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับก๊กมินตั๋ง กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ “36 กลยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็น 6 ภาค ภาคละ 6 กลยุทธ์ มีกลยุทธ์พิชิตชัย กลยุทธ์สู้ศึก กลยุทธ์โจมตี กลยุทธ์สับสนวุ่นวาย กลยุทธ์ผสมผสาน และกลยุทธ์ยามพ่าย ลองอ่านกลยุทธ์ที่ 17 โยนกระเบื้องล่อหยก เป็นการชิมลาง”เมื่อต้องการประโยชน์ที่เป็นเลิศ ก็พึงใช้ประโยชน์เข้าหลอกล่อ ประดุจดังกวีฉางเจี้ยน ในสมัยราชวงศ์ถังฉางเจี้ยน เป็นกวีผู้น้อย มีความชื่นชมผลงานของกวีอาวุโส เจ้ากู๋อย่างมากวันหนึ่ง ฉางเจี้ยนทราบว่าเจ้ากู๋จะเดินไปไหว้พระที่เมืองซูโจว ฉางเจี้ยนต้องการให้เจ้ากู๋ชี้แนะบทกวี จึงแสร้งแต่งบทกวีบทหนึ่ง เขียนไว้ที่กำแพงวัดแห่งนั้น ล่อเอาไว้โดยแต่งไว้เพียง 2 บรรทัด ว่างอีก 2 บรรทัด อย่างเป็นปริศนา เมื่อเจ้ากู๋ได้เห็นบทกวีที่ทิ้งไว้เป็นปริศนา ก็รู้สึกท้าทาย จึงแต่งบทกวีเติมเข้าไปอีก 2 บรรทัดให้จบจนกลายเป็นบทกวีที่เลอเลิศบทหนึ่งฝ่ายฉางเจี้ยนนั้น ก็สามารถคุยกับใครๆได้ว่า เขาได้เคยร่วมรจนาบทกวีกับเจ้ากู๋มาแล้ว ทำให้ชื่อเสียงของเขาจึงเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นมาบ้างโยนกระเบื้องล่อหยก ก็ทำนองเดียวกัน เป็นการใช้กลยุทธ์หลอกล่อ โดยใช้เหยื่อที่มีน้ำหนักพอๆกัน ล่อเหยื่อที่มีประโยชน์มากกว่าในการศึกก็เช่นกัน เมื่อต้องการได้มาซึ่งขุนพลผู้ปราดเปรื่องให้มาอยู่กับฝ่ายตน ต้องการทหารที่มีฝีมือมาอยู่ข้างตน ก็พึงต้องใช้ประโยชน์เข้าล่อ ซึ่งประโยชน์นั้น ก็ต้องสมน้ำสมเนื้อ เพื่อให้คนผู้นั้น ยินยอมเป็นฝ่ายเราหรือหากแม้พบแม่ทัพข้าศึกที่เบาปัญญาก็ตาม ถ้านำผลประโยชน์เป็นเหยื่อล่อ ก็จะหลงกล และพากองทัพทั้งกองมาสู่กับดักที่วางไว้ได้อย่างง่ายดายเช่นกันสองตาผมอ่านกลยุทธ์ โยนกระเบื้องล่อหยก จากหนังสือแล้ว หูก็ฟังเสียงจากม็อบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เสียงที่ดังฟังได้ชัดว่า ชุมนุมครั้งนี้ไม่ต้องการเรียกทหารมาปฏิวัติ (แต่ถ้าทหารจะมา ก็ห้ามไม่ได้)และม็อบเตรียมนับเงินบริจาคก้อนใหญ่ ไปมอบให้ทหารกองทัพภาคที่ 2 เป็นขวัญกำลังใจ เอาไว้สู้กับเขมรผมถึงกับอึ้งอุทานในใจ โอ้ว!โว้ว! ยุคใหม่ที่โลกเขาใช้เอไอเป็นกุนซือรบกันแล้ว แต่บ้านเมืองเรายังใช้กลยุทธ์เก่าของจีนกันอยู่แต่ก็ต้องชมนะครับ...มุกใช้กระเบื้องล่อหยกนี้ น่าจะใช้ได้ผล.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม