ขึ้นชื่อว่ารักประเทศชาติและแผ่นดินเกิดมาแต่ไหนแต่ไร โดย “พินิจ จารุสมบัติ” อุทิศตัวมาต่อเนื่องยาวนาน เพื่อเป็นสะพานเล็กๆ เชื่อมสัมพันธภาพระหว่างไทย-จีน ให้มั่นคงแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเสริมใยเหล็ก ล่าสุดเมื่อมารับบทบาทใหม่ “รองประธานสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” เพิ่มเติมจากการทำหน้าที่ “ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 8 สมัย จึงระดมทุกสรรพกำลังอย่างเต็มที่ จนได้รับเสียงชื่นชมในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากการผลักดันประเทศไทยให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง ประจำปี 2025” ภายใต้หัวข้อ “สันติสมานฉันท์-เกื้อกูล : ผลักดันสร้างอารยธรรมให้รุ่งเรืองก้าวหน้า” ซึ่งมีสมาชิกสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติจาก 119 ประเทศทั่วโลก เดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก เพื่อถกหาวิธีสร้างความปรองดอง และสร้างสันติภาพให้โลกอย่างยั่งยืน หวังลดความขัดแย้งในทุกมิติ โดยมี “มาดามซุน ชุนหลาน” ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ มือขวาคนสำคัญของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน
...
ความสำเร็จจากการจัดงาน “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง” สร้างบิ๊กอิมแพคน่าภูมิใจขนาดไหน
หลายคนคาดไม่ถึงว่าบรรยากาศการประชุม “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง” จะคึกคักเร่าร้อนขนาดนี้ มีผู้เดินทางมาร่วมประชุมเกือบ 700 คน ไม่เฉพาะในประเทศไทยที่มีการรายงานข่าวอย่างคึกคักแต่สื่อใหญ่ๆ ในจีนก็นำเสนอข่าวการจัดประชุมครั้งนี้ด้วย ทำให้ชาวโลกได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย และได้เห็นถึงความเป็นมิตรไมตรีกันระหว่างไทยกับจีน เป็นการประชุมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องที่ประชาคมโลกทุกวันนี้มีความเรียกร้องต้องการเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือสันติสุขสันติภาพ และเรียกร้องการปรองดอง การจัดงานของสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติในไทยเป็นครั้งแรก ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ ชาวโลกจะได้รู้ว่าพวกเราต้องการเรียกร้องให้ประชาคมโลกได้อยู่ร่วมกัน โดยยึดถืออุดมการณ์แนวทางการปรองดอง เพื่อให้เกิดสันติภาพความร่มเย็น อันเป็นการตอบรับ “วันสากลแห่งการเสวนาอารยธรรมของสหประชาชาติ” พร้อมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน-อาเซียน และนานาชาติ เพื่อมุ่งสู่การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนให้โลกใบนี้ ผมในนามของประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ ต้องขอบคุณประเทศจีน, รัฐบาลจีน และคนจีนทุกๆ คน ที่ให้เกียรติมาร่วมประชุมในครั้งนี้ เพื่อช่วยกันประยุกต์ใช้ปรัชญาแห่งความปรองดองของโลกตะวันออก รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของยุคสมัย ตลอดจนสร้างฉันทามติ เพื่อความไว้วางใจซึ่งกันและกัน พร้อมก้าวสู่อนาคตอันสดใสดีงามด้วยกัน และยังถือเป็นโอกาสอันดีในการร่วมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน
จะมีการต่อยอดความสำเร็จจากฟอรั่มดังกล่าวไหม
มีแน่นอน ผมจะตั้งทีมงานพิเศษ เพื่อคอยติดต่อประสานงานเรื่องการแลกเปลี่ยนการลงทุน, การท่องเที่ยว, การค้าขายระหว่างไทยกับจีน รวมถึงการทำ MOU แลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาสภาวัฒนธรรมไทย-จีนฯ ได้พยายามทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมองค์กรต่างๆ ของจีน ทั้งระดับรัฐบาล, มณฑล, เมือง, เทศบาล และสมาคมพ่อค้า ไม่ว่าจะเป็นที่กวางโจว, เซี่ยงไฮ้, เซินเจิ้น, ซูโจว, คุนหมิง และปักกิ่ง โดยพานักธุรกิจไทยไปจัดโรดโชว์หลายครั้ง ถ้านักธุรกิจจีนอยากมาลงทุนในไทยขอให้มาหาผม รับรองว่าไม่ผิดหวัง เพราะเราค้าขายกันด้วยความซื่อสัตย์ ผมทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ไม่คิดแสวงหาผลกำไร สมาชิกของสภาเราเน้นเฉพาะคนที่มีความรับผิดชอบ, มีคุณภาพ, มีคุณธรรม, มีความเสียสละ และมีความรักในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน สภาของเราเซ็น MOU กับกระทรวงชาวจีนโพ้นทะเล แจกทุนให้คนไทยไปเรียนภาษาจีนที่สถาบันภาษาของมหาวิทยาลัยปักกิ่งมา 20 รุ่นแล้ว ปีนี้แจกเพิ่ม 48 ทุน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ และจะขยายความร่วมมือไปยังมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ ของจีนด้วย
...
ทำอย่างไรให้มิตรภาพระหว่างไทย-จีนแน่นแฟ้นยั่งยืนตลอดไป
ปีนี้เรากำลังก้าวสู่ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนถือเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษสุด ไม่เหมือนประเทศอื่นใดในโลก ผู้นำจีนและไทยกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ไทยจีนไม่ใช่อื่นไกล เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่น้องกัน มาจากรากฐานประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะประเทศจีนมาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี มาแลกเปลี่ยนการค้า นี่คือรากฐานของขงจื๊อ คือความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน, การเปิดกว้าง, การยอมรับความแตกต่าง, ความเห็นอกเห็นใจ และการเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น ถ้ารักจะเป็นมิตรแท้ต่อกัน สิ่งใดที่ตนไม่ปรารถนา ก็อย่าทำแก่ผู้อื่น และให้สร้างความสัมพันธ์อันกลมเกลียวผ่านการเอื้ออาทรต่อกัน คือต้องเป็นความสัมพันธ์ที่วิน-วิน มีความเท่าเทียมกันในเรื่องผลประโยชน์ ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว
ไทยจะมีส่วนร่วมกับจีนได้อย่างไรในการสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน
...
ปี 2025 เป็นปีครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน จึงถือเป็นปีทองแห่งมิตรภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทย-จีน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ไทย-จีน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับปูทางสู่อีก 50 ปีข้างหน้าในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนให้ดียิ่งขึ้น และแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดุจครอบครัวเดียวกัน เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน ที่มีทั้งความมั่นคง, มั่งคั่ง และยั่งยืน อย่างที่ “มาดามซุน ชุนหลาน” ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวไว้ว่า การจัดฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองที่ประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นเวทีสร้างอารยธรรมปรองดอง ลดความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ, การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ เพื่อให้โลกกลับมาสงบสุข อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งมอบโลกที่สวยงาม, สงบ และสันติให้กับลูกหลานเราในอนาคต เพราะโลกใบนี้มีความหลากหลายทางอารยธรรมมากมาย จึงต้องอาศัยการเรียนรู้ และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน บนพื้นฐานการให้ความเคารพกันและกัน, ความเมตตากรุณา และความปรองดอง เพื่อปกป้องอารยธรรมที่หลากหลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ผมขอย้ำตรงนี้ว่า ประเทศไทยควรจะให้ความร่วมมือกับจีนอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน
...
จุดยืนของไทยอยู่ตรงไหน ภายใต้โลกยุคแบ่งขั้ว
วันนี้เราอ่านอนาคตจากความจริงว่าจีนคือตลาดการค้า จึงต้องเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต้องพยายามเสริมสร้างมิตรภาพไม่ให้มีช่องโหว่ ต้องสนับสนุนให้มีการไปมาหาสู่พูดคุยกัน, แลกเปลี่ยน, สัมมนา, จัดโรดโชว์ และแนะนำสินค้า วันนี้รัฐบาลจีนประกาศแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้น และกำลังยกระดับคนมีกินมีใช้ให้แบ่งปันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน หมายความว่าประชาชนชาวจีนที่มีรายได้ปานกลางจะพ้นจากความยากจนขึ้นมาอีก 800-900 ล้านคน ฉะนั้น อำนาจการซื้อจะใหญ่มาก ความต้องการสินค้า, อาหาร, ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ย่อมส่งผลมาถึงประเทศไทย เราจะต้องยกระดับเศรษฐกิจ และตัวเลขการค้าระหว่างไทยกับจีนให้มากขึ้น จากขณะนี้ปี 2024 มีมูลค่า 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องเพิ่มเป็น 5 แสนล้าน และเป็นล้านล้านให้ได้ เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องแบ่งหน้าที่กันไป ใครไปมณฑลไหนเมืองไหน จะนำผลิตภัณฑ์อะไร ผลไม้ พืชผลทางการเกษตรประเภทไหนไปบุกตามมณฑลต่างๆ คนจีนส่วนใหญ่ชื่นชอบสินค้าไทย เช่น ข้าวหอมมะลิและทุเรียน ของไทยก็ยังครองใจคนจีนเป็นอันดับต้นๆ เราต้องร่วมมือกับจีนพัฒนาความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดด เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โดยเน้นด้านเศรษฐกิจและการลงทุนทุกมิติ โลกที่มีสันติภาพสันติสุขคือดีที่สุด มันวิน-วินด้วยกันหมด ถ้าเกิดความขัดแย้ง หรือเกิดสงคราม จะมีประโยชน์อะไร ชีวิตมนุษย์ถูกทำลาย, ทรัพย์สินถูกทำลาย และโอกาสของคนถูกทำลาย.