ไม่รู้ว่าใครจะมอง “เศรษฐกิจไทย” วันนี้ ว่าวิกฤติหรือไม่ แต่ “มิสเตอร์พี” มองว่า “เราอยู่ในช่วงวิกฤติ” และเป็นวิกฤติซ้ำซ้อน ทั้งจากเนื้อแท้ของไทยเอง ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมทั้งต่างประเทศ

โดยเฉพาะ นโยบายการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่จนถึงวันนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า สุดท้ายจะกระทบเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ผู้ผลิตต้นน้ำ คือ เกษตรกรบ้านเราไปจนถึงผู้ผลิตรายย่อย รายใหญ่ และผู้ส่งออกมากน้อยแค่ไหน

สัปดาห์ที่ผ่านมา “มิสเตอร์พี” ได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศจีนกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งนำเกษตรกรไทยหัวขบวน ชุมชนอุดมสุข และวิสาหกิจชุมชน 10 แห่ง ประกอบด้วย ชุมชนบ้านสนวนนอก จ.บุรีรัมย์ อส.ฟาร์มข้าวโพดหมัก จ.สระบุรี ชุมชนบ้านเจริญสุข จ.บุรีรัมย์ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเพาะเห็ด บ้านท่าช้าง จ.พิษณุโลก ชุมชนบ้านมาบเหียง จ.ปราจีนบุรี ชุมชนอุดมสุขบ้านหัวอ่าว จ.นครปฐม ชุมชนบ้านกุดหมากไฟ จ.อุดรธานี ชุมชนบ้านบางนุ จ.พังงา ชุมชนบ้านควนสวรรค์ จ.ตรัง และ Dragon lion farm จ.แม่ฮ่องสอน

เพื่อพาไปดูการทำเกษตรขั้นสูงในจีน ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการทำการเกษตร ซึ่งเกษตรกรไทย ที่ไปส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า หากสามารถนำระบบโรงเรียนอัจฉริยะ ที่สามารถควบคุมแสงแดด อุณหภูมิ แมลง อย่างเด็ดขาด ระบบการควบคุมดูแลสุขภาพสัตว์ หรือพืช ด้วยการตรวจจับ 24 ชม.ด้วยระบบ AI หรือผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งทำให้สามารถแยกพืช หรือสัตว์ที่ติดโรคได้อย่างรวดเร็วและไม่ลุกลาม ซึ่งทำให้ผลผลิตต่อไร่ หรือต่อตัว เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

รวมทั้งการพัฒนาพันธุ์พืช และสัตว์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค สามารถเพิ่มราคาขายได้ เช่น การผลิตมะเขือเทศพันธุ์ใหม่ที่มีสารแอนโธไซยานิน หรือสารต้านอนุมูลอิสระสูง รวมทั้ง แตงกวาที่ช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งนอกจากเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงขึ้นจากเดิมแล้ว ยังสามารถขายได้ราคาสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว สำหรับผู้บริโภคกลุ่มที่รักสุขภาพ

...

และที่สำคัญที่สุด คือ รัฐบาลจีนคิดว่า “เทคโนโลยีการเกษตร” เหล่านี้ ถือเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร” ของประเทศ และอยากให้รัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ ของไทยมองถึงจุดนี้

โดยในการปลูกพืชนั้น รัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนพัฒนาพันธุ์พืช และสร้างโรงเรือนอัจฉริยะ และให้เกษตรกรเข้ามาเช่าพื้นที่ปลูกเป็นรายปี ทำให้เกษตรกรที่ไม่มีทุนหรือไม่รู้เทคโนโลยี สามารถที่จะเข้าถึงสายพันธุ์พืชที่ดี และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงได้ นอกจากนั้น รัฐบาลจีนยังเป็นหลักในการสร้างระบบ AI และแอปพลิเคชันกลาง ที่จะใช้ตรวจสอบโรคแมลง ของพืชและสัตว์ ในฟาร์ม ทำให้ราคาถูก เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ เพราะในขณะนี้แม้ว่าจะเริ่มมีเทคโนโลยี การผลิตการเกษตรขั้นสูงเข้ามาในไทย แต่ราคายังจับต้องไม่ได้ในกลุ่มเกษตรกรรายกลางรายเล็ก

และล่าสุด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก 1.15 แสนล้านบาท มีเพียงเรื่องน้ำ เท่านั้น ที่มีโครงการออกมา แต่หากรัฐบาลทุ่มเงินลงไปในภาคเกษตรให้มากขึ้น และลงไปให้ตรงจุดสร้างโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรของไทย เหมือนกับโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม หรือดิจิทัล ภาคเกษตรกรไทยน่าจะยกระดับได้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่าตัว และเกษตรกรไทยจะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก.

มิสเตอร์พี

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม