การเจรจาของคณะทำงานเพื่อพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรของท่าอากาศยานสากลสำคัญๆระหว่าง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยังคงดำเนินต่อไป

อาจจะยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก เพราะมีเรื่องของผลประโยชน์ผูกพันระหว่างกันในหลายประเด็น

และมีหลายเรื่องที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ “ต้องรอด” ให้ได้ทั้งคู่ ตรงตามสุภาษิตที่ว่า “รวมกันเราอยู่”...“แยกกันเราจบ”

ตลอดระยะเวลา 36 ปี ในฐานะที่คิง เพาเวอร์ เป็นผู้บุกเบิกร้านค้าปลอดภาษีจากเกาะฮ่องกงเข้ามายังประเทศไทยนั้น

จะเห็นว่า คิง เพาเวอร์ ไม่เคยสร้างปัญหา และสามารถจ่ายค่าสัมปทานรวมผลตอบแทนให้แก่ บมจ.ทอท.ได้ จนหุ้นของ ทอท. (AOT) กลายเป็นหุ้นหลักที่นักลงทุนทั้งไทยและเทศมอบความไว้วางใจให้

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่มีความคิดติดค้างในใจ และสมองอันน้อยนิดว่า ธุรกิจสัมปทานที่เสนอผลตอบแทนสูงๆ มักจะหนีไม่พ้นต้องกลับมายื่นขอลดค่าสัมปทานอยู่เรื่อย

จะว่าไปวิธีการเสนอค่าตอบแทนสูงๆเพื่อกลับมาขอแก้สัญญาลดค่าสัมปทานลงนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 20-30 ปีก่อน พลิกหน้าประวัติดูก็จะเห็นว่า มีกี่บริษัทที่ทำกับสัมปทานรัฐเช่นว่า แต่ในบริษัทเหล่านั้นไม่มีชื่อของคิง เพาเวอร์ อยู่เลย

มีคำถามอยู่ว่า การประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรีครั้งสุดท้ายในปี 2562 ทำไมคิง เพาเวอร์ ต้องเสนอผลตอบแทนสูงกว่ารายอื่นๆถึง 2-3 เท่า

คำตอบที่อยู่ในสัญญาระบุว่า สัญญาสัมปทานร้านค้าดิวตี้ฟรี ที่เริ่มขึ้นในสนามบินดอนเมืองนั้น มีรัฐบาลทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง และทำรัฐประหารมา มักทุบขอแบ่งสัญญาออกเป็น 2 หรือ 3-4 สัญญา ให้รายอื่นๆทั้งที่เป็นคู่แข่งจากต่างประเทศ และผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าในประเทศอยู่เรื่อยมา

...

คิง เพาเวอร์ ในสมัย เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา ถูกรังแกจากนักการเมืองทหาร และแม้แต่นักหนังสือพิมพ์ที่ฉากหลังสร้างอิทธิพลให้ตัวเองด้วยการรวมกันทุบตีผู้คนอยู่ตลอด จนเขาต้องยอมแบ่งครึ่งให้ผู้อยากได้สัญญา แต่ไม่อยากประมูลไป ทั้งๆที่เขาทำสัญญาถูกต้องทุกประการ

แม้แต่ในช่วงก่อนหมดสัญญาเก่าหรือก่อน ทอท.จะเปิดประมูลใหม่ในปี 2562 ก็มีทหารนักเลงบางกลุ่ม รวมบรรดานักปล้นจากการเมือง ข้าราชการ นักหนังสือพิมพ์ และนักธุรกิจกลุ้มรุมกันรังแกเพื่อกดดันขอแบ่งพื้นที่เข้าไปทำมาหากินกันในสนามบินทั้งที่ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยวิธีการสกปรกต่างๆนานา

ทุกครั้งเจ้าสัววิชัยยอมแบ่งพื้นที่ให้ แต่ท้ายสุดพวกที่อยากได้ ก็ทำไม่สำเร็จต้องมาขอคืนพื้นที่เพราะบริหารจัดการร้านค้าดิวตี้ฟรีไม่เป็น การประมูลครั้งใหม่จึงต้องเสนอผลตอบแทนที่สูงเพื่อตัดกุ๊ยและนักเลงออกไป

การขอเจรจาเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนในครั้งนี้ของคิง เพาเวอร์ ก็เป็นครั้งแรกด้วยสาเหตุเพราะเศรษฐกิจโลก และไทยทรุดฮวบลงดังที่ทราบ ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกเดินมาถึงช่วง “ขาลง”

นักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาไทยเกือบ 41 ล้านคน ล่าสุดเหลือแค่ 15 ล้านคน คนจีนซึ่งเคยเดินทางมาไทยถึง 11 ล้านคน/ปี เหลือแค่ 2 ล้านคนเศษ

ทางเลือกเพื่อทางรอดเดียวคือ คุยกัน และหาทางอยู่ร่วมกันให้ได้.

มิสไฟน์

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม