ความขัดแย้งเขตแดนไทย-กัมพูชา ซับซ้อนยิ่งขึ้น “เมื่อกัมพูชาเลือกใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก” เป็นเครื่องมือกดดันไทยยอมรับข้อเรียกร้องพื้นที่ทับซ้อนพิพาทชายแดน

แม้รัฐบาลไทยจะยืนยันไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก “กรณีพิพาทชายแดนกับกัมพูชาก็ตาม” แต่ด้วยท่าทีรุกคืบของฝ่ายกัมพูชาในการผลักดันประเด็นเข้าสู่เวทีนานาชาติ “ส่งผลให้ไทยไม่อาจเพิกเฉยได้” จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในด้านการทูต การทหาร และการสื่อสารข้อมูลต่อประชาคมโลก

เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติโดย รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ มองว่า ตอนนี้หากบุคคลทำงานเดี่ยวไม่ได้ก็ต้องมีทีมสนับสนุนที่แข็งแรงด้วยการพึ่งโครงสร้างทางการ เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ และคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อเสริมสร้างเอกภาพ และทีมงานให้เข้มแข็ง

ถ้าหากสามารถตั้งหลักตรงจุดนี้ก็จะสามารถเดินหน้าไปยังเวทีนานาชาติได้ “แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไปขึ้นศาลโลก” เพียงแค่เดินหน้าล็อบบี้ หรือชี้แจงข้อเท็จจริงในเวทีระหว่างประเทศอย่างกรณีกัมพูชากล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อนต้องกล้าลุกขึ้นพูดโต้แย้งชี้แจงถึงไทยป้องกันตัวตามสิทธิของรัฐอธิปไตย

...

แต่เท่าที่เห็นปัจจุบัน ฝ่ายไทยทำงานได้น้อย เพราะกลัวลังเลยกระดับปัญหาสู่เวทีระหว่างประเทศ ทั้งที่กัมพูชาเดินหน้าฟ้องศาลโลกแล้ว เมื่อไทยไม่อธิบายยืนหยัดหลักการบนเวทีโลกก็สะท้อนให้เห็นชัดว่า “ทุกอย่างไม่พร้อม” ทั้งการประกอบทีม แนวทางตอบโต้ และคนที่ถูกส่งมาช่วยก็ดูสะเปะสะปะจนท่าทีออกมาไม่เป็นเอกภาพ

สวนทางกับ “ฝ่ายกัมพูชาไม่จำเป็นต้องมีโพลด้วยซ้ำ” ทุกอย่างผ่านการซักซ้อมมาอย่างดีจนขึ้นใจ แม้ระบบภายในอาจจะมีความขัดแย้งกันเองบ้าง แต่พอถึงเวลาเผชิญหน้ากับไทยทุกฝ่ายกลับมีเป้าหมายเดียวกันคือ “ผลักดันเรื่องสู่เวทีนานาชาติ” ล้อมกรอบบีบไทยให้ไปขึ้นศาลโลก เพื่อวางบรรทัดฐานทางกฎหมายในอนาคต

ซึ่งกัมพูชาใช้วิธีการนี้กับไทยมาตลอดแล้วระหว่างทางก็จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวชะลอบางเรื่อง บิดเบือนบางมุม สร้างความสับสนไปเรื่อยๆ ทั้งยังใช้กำลังทหารในช่วงไทยกำลังชะงักรุกเข้ามาในพื้นที่ถ่วงเวลาไม่ยอมประชุมยกประเด็นเข้าสู่วาระสำคัญต่างๆและมักใช้ทุกช่องทางการสื่อสารเชื่อมโยงย้อนศรกดดันฝ่ายไทยอยู่เสมอ

เรื่องนี้ไม่ใช่พูดลอยๆ “จับสัญญาณโจมตีไซเบอร์ได้จริงพิสูจน์ได้” แต่ไม่มีใครชี้แจงให้สาธารณชนรู้ หรือแม้แต่เรื่องอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีใครพูดเลยว่า “ตัดดีแล้วเพื่อตัดช่องทางฝ่ายตรงข้ามโจมตีเรา” ซึ่งเราก็สามารถรุกกลับได้ด้วยโฆษกรัฐบาล, โฆษก กต.,โฆษก กห.,โฆษก ทบ.ร่วมกันโต้ข้อมูลข่าวสารย้อนศรให้เห็นไทยเอาจริงได้

ถ้าทำได้สักพักเชื่อว่า “กัมพูชาจะเริ่มอ่อนลง” พฤติกรรมเหมือนนักเลงปากซอยถ้าลูกบ้านในซอยแข็งแรง “นักเลงปากซอยก็ไม่กล้ามาทำลายซอยตัวเอง” สุดท้ายต้องมานั่งคุยกันจะควบคุมชายแดนร่วมกันแบบใด

ประการถัดมา “กัมพูชายื่นฟ้องศาลโลก” เรื่องนี้ไทยต่อสู้ได้หลายแนวทางแม้กัมพูชาตั้งเป้าหมายต่อ “การเอาดินแดนให้ได้ก็เป็นสิทธิของเขา” แต่ในทางกลับกันฝ่ายไทยก็มีสิทธิปกป้องอธิปไตยได้อย่างเต็มที่เช่นกัน โดยการทำให้แน่ใจว่า “กัมพูชาจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ในการหาวิถีทางแบบไม่ต้องถึงขั้นรบกัน

ด้วยการแสดงศักยภาพส่งสัญญาณไปยังนานาชาติว่า “กัมพูชาจะไม่ได้ทุกอย่างตามที่เรียกร้อง” หากขึ้นศาลโลกก็จะคัดค้านเต็มที่พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายบุกรุก และเปิดฉากยิงก่อน “อันมีหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลภาคสนาม”  หากจำเป็นต้องขึ้นศาลก็เดินเกมล็อบบี้ให้ผลเป็นคุณประโยชน์ต่อไทย

...

โดยใช้ทุกเครื่องมือที่มีต่อสู้ทุกประเด็น ทุกขั้นตอน ทุ่มเททรัพยากรทั้งคน ข้อมูลเครื่องมือทางการทูต เพื่อต่อสู้ทุกยกไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าส่งสัญญาณชัดแบบนี้เชื่อว่ากัมพูชาน่าจะถอยมาเจรจา เพราะเคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ยิ่งผู้นำมีสัมพันธ์ดีต่อกันจะช่วยให้ประนีประนอมเกิดเร็วขึ้นเพียงแต่อย่าสร้างพันธนาการให้มากเกินไป

ทั้งต้องใช้เวทีเปิดเผยข้อมูลสู่ “สาธารณชนรับรู้” อย่างเช่นอาวุธของจีนถูกนำมาใช้คุกคามไทย แต่ต้องใช้ภาษาทางการทูตอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีน้ำหนักทางการเมืองระหว่างประเทศ และไม่เปิดช่องให้ถูกโจมตีกลับ

เท่านี้ก็เป็นการส่งสัญญาณว่า “ไทยไม่ยอมง่ายๆ” หากกัมพูชาเดินเกมไปฝรั่งเศส “ไทย” ก็ต้องเดินเกมคู่ขนานโดยใช้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับฝรั่งเศสซึ่งใกล้ชิดกับผู้นำไทยบางคน อย่าปล่อยให้กัมพูชาต่อสายฝ่ายเดียว

ปัญหาคือ “ไทยไม่อยากให้นานาชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง” แต่ที่จริงฝรั่งเศสถูกกัมพูชาดึงเข้ามาแล้ว ดังนั้นการเมืองระหว่างประเทศ “ไม่อาจนิ่งเฉย” โดยเฉพาะตอนนี้ฝรั่งเศสให้ความสนใจกับไทยเป็นพิเศษ

...

ส่วนตัวเคยรับประทานอาหารร่วมกับท่านที่ปรึกษาพิเศษฝรั่งเศสมีฐานที่ตั้งใน EEC รู้จักคนในไทยดี และสนใจพลังงานในภูมิภาคนี้ทำไมไม่ใช้ความสัมพันธ์นี้ให้เป็นประโยชน์มาช่วยดูแลกัมพูชาให้อยู่กับร่องกับรอยบ้าง

อย่างไรเสียผลประโยชน์เศรษฐกิจ “ฝรั่งเศส–ไทย” ก็มีน้ำหนักมากกว่าในกัมพูชาเยอะเพียงแต่ฝ่ายกัมพูชาเล่นเกมการทูตใช้ความสัมพันธ์ดีกว่าเท่านั้น ดังนั้นเราต้องเล่นให้เป็นเช่นกันไม่ใช่ปล่อยเขาเดินหมากฝ่ายเดียว

จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ “ระบบศาลโลก(ICJ)” ซึ่งเป็นกลไกหลักของสหประชาชาติ และเมื่อไทยเป็นภาคี UN เท่ากับยอมรับกลไกนี้ “เว้นแต่จะแสดงข้อสงวนไว้ล่วงหน้า” โดยต้องมีคำอธิบายพิเศษ 2 แนวทางคือ 1.“ชี้แจงเหตุที่ไม่แฟร์กับไทย” ด้วยการอธิบายเงื่อนไขบางอย่าง เช่น แผนที่ใช้ตัดสินส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียม

แนวทางที่ 2... “ต่อสู้ด้วยคดีใหม่” ยื่นแผนที่ดาวเทียมสมัยใหม่ที่อดีต รมว.ต่างประเทศเคยให้ต่างชาติทำแผนภาพถ่ายดาวเทียมเปรียบเทียบกับแผนที่ 4 ฉบับ เช่น มาตราส่วน 1:200,000/1:100,000/ 1:50,000/1:25,000

...

สิ่งนี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่มีอยู่ พร้อมใช้สู้ในเวทีระหว่างประเทศแต่ข้อเสียของไทยล่าช้าในขณะที่กัมพูชาเดินเกมเร็วยื่นเรื่องต่อศาลโลกแล้ว อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยเคลื่อนไหวเร็วกว่าราชการ หากต้องขึ้นศาลจริงไทยยังมีทางเลือกถ้าคาดว่า จะแพ้ ก็อาจไม่รับคำตัดสินแต่หาก “ชนะ” ก็สามารถยอมรับ ซึ่งหลายประเทศใช้แนวทางนี้

“ส่วนตัวคิดว่าการปฏิเสธไม่เข้าร่วมกระบวนการศาลโลกเลยอาจเข้าทางกัมพูชา เพราะจะกลายเป็นไทยดูไม่ร่วมมือ หรือเกเรในสายตานานาชาติ แล้วดีไม่ดีศาลโลกอาจจะเร่งรับเรื่องใช้เป็นข้ออ้างในการกดดันผ่านกลไกของสหประชาชาติ กลายเป็นว่าฝ่ายกัมพูชาเล่นเกมหลายชั้นจนไทยต้องเสียเปรียบก็ได้” รศ.ดร.ปณิธาน ว่า

ฉะนั้นสถานการณ์นี้ “ไทย” ต้องเริ่มต้นด้วยการทำให้ประเทศเข้มแข็ง ทั้งในด้านการเมือง และการทหาร เพราะสองปัจจัยนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการกำหนดเรื่องทั้งหมดว่าจะเดินหน้าต่อได้.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม