กว่า 14 ปีที่ผ่านมา สสส. ได้จับมือกับภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านประชากรกลุ่มเฉพาะ 9 กลุ่ม โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาวะในประชากรกลุ่มเปราะบาง ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน แรงงานนอกระบบ ประชากรข้ามชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผู้ต้องขัง รวมถึงกลุ่มมุสลิม ผ่านการทำงานแบบบูรณาการ จนถึงพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ มีข้อเสนอเชิงนโยบาย ตลอดจนสร้างระบบกลไกเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาวะในประชากรกลุ่มเฉพาะขึ้น กระทั่ง ‘เสียง’ ที่แทบไม่มีใครเคยได้ยินในวันนั้น เริ่มเป็นเสียงที่รับรู้ได้ในสังคมนี้มากยิ่งขึ้น และเพื่อให้พลังของการขับเคลื่อนลดความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น การรวมตัวกันภายใต้การประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 (Voice of the voiceless 3rd) จึงเกิดขึ้น เพื่อผนึกกำลัง และเดินไปด้วยกันอย่างมีทิศทาง พร้อมกับนำแนวทางความสำเร็จบางส่วนจากหลายภาคีมาส่งต่อถึงกัน เพื่อทำให้เสียงที่คนอื่นไม่เคยได้ยิน กลายเป็นเสียงที่ได้ยินมากขึ้นในสังคม
ร่วมฟัง “เสียงที่คนอื่นไม่มีใครได้ยิน”
การประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 (Voice of the voiceless 3rd) จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” ที่มี สสส. เป็นตัวกลางสำคัญในการดึงภาคีประชากรกลุ่มเฉพาะ จากทั้ง 9 ภาคี กว่า 4,000 ชีวิต มาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากการปฏิบัติงานจริง โดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย นำไปสู่การมีข้อเสนอเชิงนโยบาย และระบบกลไกเพื่อขับเคลื่อนงานลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาวะในประชากรกลุ่มเฉพาะขึ้น ซึ่งการรวมตัวกันจากสองครั้งที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า การผสานให้ภาคีเครือข่ายที่ทำงานกับประชากรกลุ่มเฉพาะกลุ่มต่างๆ ได้โคจรมาพบกัน ยังส่งผลดีต่อการผสานกำลังกันทำงาน นอกเหนือไปจากจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอีกด้วย
ดร. ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเปิดงาน
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 14 ปีที่ผ่านมา สสส. ให้ความสำคัญต่อการทำงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชากรกลุ่มเฉพาะอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านสุขภาวะที่พบว่ายังมีประชากรกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม อันส่งผลต่อสุขภาพและสุขภาวะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน แรงงานนอกระบบ ประชากรข้ามชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผู้ต้องขัง รวมถึงกลุ่มมุสลิม จนกลายเป็นเสมือนเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกไร้ค่า ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในสังคม แต่ด้วยความพยายามของภาคีที่ทำงานด้านประชากรกลุ่มเฉพาะอย่างจริงจังผ่านความหวังที่ต้องการคืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับกลุ่มคนที่ไม่ถูกมองเห็น จากเสียงที่ไม่มีใครได้ยินในวันนั้น ก็ค่อยๆ ดังขึ้น เกิดเป็นพลังทางสังคม ขณะเดียวกันก็มีผลลัพธ์ด้านอื่นๆ เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วย อาทิ การจ้างงานในกลุ่มผู้พิการ การเข้าถึงระบบสุขภาพ ระบบสวัสดิการ และบริการสาธารณะในกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น
“สิ่งที่ สสส. ต้องการอยากเห็นคือ การรวมพลังกันเพื่อส่งเสียงออกมาให้สังคมได้ยิน อยากให้ ‘Voice’ ของพวกเขาโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ มีคนได้ยินมากขึ้น อยากให้สังคมรับรู้ว่าเขาต้องการอะไรเพื่อสุขภาวะของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาเองจะมีส่วนร่วมอย่างไรทำให้สุขภาพและสุขภาวะของพวกเขาดีขึ้น เพราะสุขภาวะนั้นเป็นทั้งเรื่องของสิทธิและหน้าที่ นั่นแปลว่าสังคมเองก็ต้องมองเห็น ได้ยิน และพร้อมจะมอบสิทธิ์ความเท่าเทียมในเรื่องสุขภาวะไปให้แก่กลุ่มคนที่ยังได้รับความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยอาจเริ่มจากเรื่องทัศนคติ การอำนวยความสะดวก เรื่องโครงสร้าง และการขับเคลื่อนในเชิงนโยบาย ไปจนถึงเรื่องกฎหมาย ในขณะเดียวกันการทำให้ตัวเองมีสุขภาวะที่ดีก็ถือเป็นหน้าที่ของคนทุกกลุ่ม การประชุมเชิงวิชาการในครั้งนี้จึงเป็นการรวมกลุ่ม ทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มคนที่ทำงานขับเคลื่อนเรื่องนี้ รวมถึงเป็นแสดงพลังเพื่อให้สังคมได้ยินเสียงของประชากรกลุ่มเฉพาะที่มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของสังคม”
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ถอดบทเรียนการทำงานภาคี ลดความเหลื่อมล้ำ
ในพิธีเปิดการประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 (Voice of the voiceless 3rd) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีเวทีเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “จากเสียงที่ไม่ได้ยิน สู่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากทุกคน” โดยมีผู้ร่วมเสวนาเป็นตัวแทนภาคีผู้ขับเคลื่อน ‘เสียง’ จากมุมต่างๆ ในสังคมที่ผู้อื่นไม่ได้ยิน ให้สังคมได้มองเห็นและได้ยินเสียงเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ที่มีตัวตนในสังคมไทยและมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม แต่มักไม่ได้รับการมองเห็นและยอมรับการมีอยู่เท่าที่ควรจะเป็น กลุ่มคนพิการ ที่ยังต้องการการยอมรับและโอกาสในการจ้างงาน กลุ่มผู้มีความหลากหลายเพศ ที่ต้องการการเข้าถึงสิทธิที่มากขึ้นตามความจำเป็น หรือแม้แต่กลุ่มคนไร้บ้าน ที่หวังอยากให้เสียงเล็กๆ ในมุมเงียบมีความหมายมากยิ่งขึ้น
คุณนพพรรณ พรหมศรี จากมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งทำงานขับเคลื่อนเรื่องคนจนเมืองและคนไร้บ้านมาอย่างต่อเนื่อง กล่าวว่า คนไร้บ้านนับเป็นประชากรอีกกลุ่มหนึ่งที่มีตัวตนจริงอยู่ในสังคม แต่ที่ผ่านมาสังคมกลับมองไม่เห็น รวมถึงไม่เข้าใจประชากรกลุ่มนี้จนอาจนำไปการเลือกปฏิบัติ ส่งผลให้คนไร้บ้านเองก็รู้สึกถึงการไม่มีตัวตนอยู่ในสังคม แม้คนไร้บ้านหลายคน หลายกลุ่ม จะยังมีศักยภาพมากมายที่จะสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้กับสังคม เพียงแต่ขาดโอกาสและการได้รับการยอมรับ จนกลายเป็นเสียงที่เริ่มเบาลงเรื่อยๆ
“การเข้าไปทำงานกับคนไร้บ้านในช่วงแรกๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเริ่มต้นจากการสร้างความเชื่อใจและสลายกำแพง เราต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ว่าเราเป็นเพื่อนและมีความจริงใจในการเข้าไปช่วยแก้ปัญหา เริ่มจากปัญหาเล็กๆ ทั่วไป จนเขาเห็นการเปลี่ยนแปลง และเห็นความหวังในการมีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็เข้าไปสนับสนุนเรื่องกระบวนการกลุ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปธรรมจากที่เราเข้าไปทำงานกับกลุ่มคนไร้บ้านที่ชัดเจนที่สุดคือ การมีคนที่มีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และคนเหล่านี้ก็กลายมาเป็นต้นแบบ รวมถึงเป็นกลไกการทำงานสำคัญ และสามารถเข้าไปทำงานกับคนไร้บ้านคนอื่นๆ ได้ จากการที่ส่วนหนึ่งตัวเขาเองก็เป็นแบบอย่างที่ทำให้คนอื่นๆ มองเห็นว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเรามองว่าแนวนี้เป็นความยั่งยืนมากกว่าเข้าไปสงเคราะห์ ขณะที่เราเองก็ต้องมองหานโยบายหรือวิธีที่จะเข้าไปช่วยเขามากขึ้น อย่างนโยบายเรื่องที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การสร้างอาชีพ ความสำเร็จจากการทำงานของเราในวันนี้น่าจะเป็นการที่เราสามารถทำให้คนเข้าใจคนไร้บ้านมากขึ้น มีหน่วยงานเข้ามาร่วมสนับสนุน มีกลไกการทำงานร่วมกัน เกิดเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จขึ้น”
คุณนพพรรณ พรหมศรี จากมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
คุณจารุณี ศิริพันธุ์ จากมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) และเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (มูฟดิ) กล่าวบนเวทีเสวนาว่า การทำให้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน หรือไม่เคยได้ยิน ค่อยๆ ดังขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการมอบความเท่าเทียมให้กับประชากรทุกกลุ่มในสังคม แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจก็จะส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำด้านต่างๆ ค่อยๆ ลดลง ทั้งนี้การผนึกกำลังกันของกลุ่มภาคีที่ขับเคลื่อนด้านประชากรกลุ่มเปราะบางเองก็มีความสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้เข้าถึงประชากรกลุ่มย่อยอื่นๆ ได้มากขึ้น ยกตัวอย่างกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่อยู่ในกลุ่มผู้สูงวัย หรือกลุ่มผู้สูงวัยที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้พิการ เป็นต้น การประชุมเชิงวิชาการครั้งนี้จึงมีความหมายมากกว่าแค่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แต่ยังหมายถึงการร่วมมือกันทำงานเพื่อขับเคลื่อนการขจัดความเหลื่อมล้ำด้านต่างๆ ร่วมกันอีกด้วย
คุณจารุณี ศิริพันธุ์ จากมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) และเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (มูฟดิ)
ทั้งนี้ การประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 (Voice of the voiceless 3rd) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 มิถุนายน 2568 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เพื่อเปิดพื้นที่สร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวทางการทำงาน การพัฒนานวัตกรรม ตลอดจนข้อเสนอเชิงนโยบาย หรือข้อเสนอแนวทางให้เกิดการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับประชากรกลุ่มเฉพาะระหว่างภาคีเครือข่ายและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมี ดร. ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันเปิดงาน ซึ่งนอกจากจะมีการเสวนาเชิงวิชาการ การประชุมห้องย่อยตามกลุ่มประชากรแล้ว ก็ยังมีการแสดงผลงานของภาคีเครือข่าย ทั้งนวัตกรรม และองค์ความรู้ เพื่อส่งต่อแบบความสำเร็จจากการทำงานและพลังต่อกัน ผ่านจุดมุ่งหมายสำคัญที่มีร่วมกัน นั่นคือ การทำให้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน กลายเป็นเสียงที่ดังมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม