อาชีพเกษตรกรคือผู้มีบทบาทสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการผลิตอาหารและวัตถุดิบต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แม้หลายคนจะมองว่าเป็นงานที่เหนื่อยและไม่มีอนาคต แต่ครอบครัว “นครไธสง” กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า หากมีหัวใจ มีระบบที่ดี และมีคนรุ่นใหม่ที่พร้อมสานต่อ อาชีพนี้ก็สามารถส่งต่อเป็น “มรดกชีวิต” ที่มั่นคง ยั่งยืน และเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี

ความสำเร็จจากรุ่นพ่อส่งต่อถึงรุ่นลูกไม่มีที่สิ้นสุด ผ่านคอนแทรคฟาร์มมิ่ง

ย้อนกลับไปในปี 2542 พ่อสมจิตและแม่หนูเพ็ญ นครไธสง เริ่มต้นเลี้ยงหมูขุนกับซีพีเอฟ แม้จะเริ่มต้นบนที่ดินเช่า แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ในเวลานั้น โดยส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงหมูหลังบ้าน บ้านละไม่กี่ตัวไว้บริโภคและขายให้พ่อค้าคนกลาง

แต่พ่อสมจิตกลับมองเห็นโอกาสจากความมั่นคงของซีพีเอฟ ที่เข้ามาแนะนำรูปแบบการเลี้ยงใหม่ๆ เขาจึงได้ศึกษาข้อมูลการเลี้ยง ประกอบกับความคิดที่ว่าถึงอย่างไรคนก็ชอบรับประทานหมูมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจลงทุนเลี้ยงหมูในระบบเปิด ในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรขุนแก่เกษตรกรรายย่อย หรือคอนแทรคฟาร์มมิ่ง กับซีพีเอฟเป็นรายแรกใน ต.ทับสวาย อ.ห้วยแถลง โดยมีเด่นชัย ลูกชายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

...

จากฟาร์มเปิดเล็กๆ ที่เลี้ยงหมูเพียง 400 ตัว พ่อสมจิตและครอบครัวก็ได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ โดยมีซีพีเอฟเป็นผู้สนับสนุน ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและวิชาการใหม่ๆ ที่นำมาปรับใช้ในการเลี้ยงหมู จนทำให้มีรายได้มากขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้หันมาเลี้ยงหมูใน "ระบบฟาร์มปิด" ที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้พ่อสมจิตกล้าที่จะขยับขยายฟาร์มบนที่ดินของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมรดกที่พร้อมส่งต่อให้รุ่นต่อไป

รุ่นลูกที่สานต่ออาชีพของพ่อ ต่อยอดสู่ความมั่นคง

เด่นชัย นครไธสง วัย 47 ปี ลูกชายของพ่อสมจิต แม้เขาจะเรียนจบ ปวส.ช่างไฟฟ้า และกำลังทำงานในบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาฮาร์ดดิสก์ แต่เขากลับเลือกที่จะสานต่ออาชีพที่พ่อกับเขาร่วมกันสร้างมา ด้วยความเข้าใจในระบบ "คอนแทรคฟาร์มมิ่ง" เป็นอย่างดี ว่าไม่ใช่แค่การเลี้ยงหมูให้ดี แต่ยังสามารถต่อยอดความสำเร็จไปได้อีกไกล

"ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าถ้าผมกับแฟนทำงานโรงงานก็คงได้กินไปวันๆ ไม่มีอนาคตพอตอนแก่จะทำอะไรเลี้ยงตัว เมื่อหันกลับมามองที่พ่อของเรา ที่เลี้ยงหมูเป็นอาชีพ ที่เลี้ยงครอบครัวของเราให้มีกินมีใช้มาจนทุกวันนี้ ผมจึงตัดสินใจออกมาสร้างฟาร์มในที่ดินของตัวเองและขยายการเลี้ยงหมูขุนเป็น 650 ตัว" เด่นชัย กล่าว

เปิดใจเคล็ดลับความสำเร็จของรุ่นลูก

เด่นชัยเผยถึงเคล็ดลับความสำเร็จของเขาว่ามีหลายปัจจัยด้วยกัน ตั้งแต่

1. ผลการเลี้ยงที่ดีเยี่ยม การันตีด้วยคุณภาพหมูขุน อาหาร การจัดการตามมาตรฐานของบริษัท

2. การมีฟาร์มต้นแบบเกษตรผสมผสาน เขาใช้พื้นที่ฟาร์มที่เหลือทำแปลงเกษตรผสมผสานแบบไม่ใช้สารเคมี โดยใช้ปุ๋ยจากมูลสุกร สร้างรายได้เสริมให้ครอบครัวกว่า 360,000 บาทต่อปี แถมยังเป็นต้นแบบให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาดูงาน และยังได้รับรางวัลระบบมาตรฐาน GAP แปลงหม่อนไหม และโรงเลี้ยงไหมที่ริเริ่มจากคุณแม่กลายเป็นอาชีพเสริมของครอบครัวอีกด้วย

3. การประหยัดพลังงานด้วย Solar Cell ฟาร์มนี้ติดตั้ง Solar Cell ขนาด 10kw ช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 30-40% ถือเป็นการลงทุนครั้งเดียวที่คุ้มค่าในระยะยาว

4. การแบ่งปันสู่ชุมชน ไม่ใช่แค่ใช้เอง แต่เขายังแบ่งปันน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสู่เกษตรกรและชุมชนรอบข้าง ได้นำไปใช้ประโยชน์ ลดค่าปุ๋ยเคมี มีน้ำใช้ลดความเสี่ยงภัยแล้ง ได้ผลผลิตเพิ่ม

...

"อาชีพนี้ทำให้ผมไปสู่อีกอาชีพหนึ่ง การเลี้ยงหมูมีขี้หมู ไร่ข้างๆ เป็นที่ของเรา แม่ก็ทำอาชีพเลี้ยงไหม ผมเอาปุ๋ยจากมูลสุกรไปรดไร่อ้อย ปลูกหม่อน" นี่คือการเชื่อมโยงอาชีพให้เป็นวงจรที่เกื้อกูลกันอย่างแท้จริง” เด่นชัย กล่าว

คอนแทรคฟาร์มมิ่ง: อาชีพมั่นคง สานต่อความสำเร็จที่ยั่งยืน

สิ่งที่ทำให้ครอบครัวนครไธสงมั่นใจในอาชีพนี้คือ "ความมั่นคง" ของระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับซีพีเอฟ เด่นชัยบอกว่า

"ผมมั่นใจในบริษัทซีพี ว่ายังไงก็ไม่ทิ้งเรา ของที่เราผลิตคืออาหารไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย เพราะคนต้องกินทุกวัน"

การเลี้ยงหมูในระบบนี้ไม่เพียงแต่สร้างรายได้ที่น่าพอใจ แต่ยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเลี้ยงเองทั้งหมด เพราะมีทั้งสัตวแพทย์และทีมงานจากซีพีเอฟเข้ามาดูแลสุขภาพหมูอย่างใกล้ชิด

มีการพัฒนาการเลี้ยงและระบบการป้องกันโรคให้ทันสมัยอยู่ตลอด นอกจากนี้การเลี้ยงหมูยังทำงานในที่ร่ม ทำงานในโรงเรือน EVAP หมูเย็นคนก็เย็น เขาจึงไม่ต้องเหนื่อยกับการทำงานกลางแจ้งเหมือนการทำไร่ที่เคยเป็นอาชีพของครอบครัวอย่างในอดีต

...

ครอบครัวนครไธสงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อาชีพเลี้ยงสุกรขุนแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ไม่ใช่แค่การทำเกษตร แต่คือการสร้างชีวิต สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง และที่สำคัญที่สุดคือการ "สร้างมรดกอาชีพ" ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ส่งต่อความสำเร็จและความภาคภูมิใจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน

พ่อสมจิต ในวัย 72 ปี วันนี้ยังคงเข้ามาช่วยลูกๆ ดูแลหมูอาชีพที่รัก เขาภูมิใจที่อาชีพเลี้ยงหมูสามารถส่งลูกทั้งสองคนเรียนหนังสือจนจบ คนหนึ่งรับช่วงต่ออาชีพนี้ได้อย่างมั่นคง ส่วนลูกอีกคนจบปริญญาโทและได้เข้ารับราชการ

การเลี้ยงหมูสำหรับเขาจึงเป็นอาชีพที่สร้างคน รับใช้ประเทศชาติต่อไป และตอนนี้เด่นชัยก็กำลังส่งต่อมรดกความรู้และความรักในอาชีพให้กับลูกๆ ได้เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้กระบวนการเลี้ยงหมู ซึมซับและรักในสิ่งที่ทำ เหมือนกับที่เขาได้รับจากคุณพ่อสมจิตเช่นกัน