ชาวบ้านแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หลายครัวเรือนเริ่มทยอยขายวัวควาย แม้ได้ราคาต่ำเฉลี่ยตัวละ 6-8 พันบาทก็ยอม เพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จำเป็นต้องอพยพไปที่ปลอดภัย จะได้ไม่ต้องพะวงเป็นห่วงสัตว์เลี้ยง ลุ้นผลการประชุม JBC ยุติพิพาท

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่ จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ติดตามบรรยากาศชาวบ้านที่บ้านสายโท 11 ใต้ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประมาณ 3-4 กิโลเมตร และเคยได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา จนต้องอพยพทิ้งบ้านเรือนไปอยู่ศูนย์พักพิงเมื่อปี 2554 ต่างจับกลุ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะกันล่าสุดที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และรอลุ้นผลการเจรจาของผู้นำทั้งสองประเทศ ที่ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC “ในวันนี้ 14 มิถุนายน 68 ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา

ซึ่งชาวบ้านต่างก็คาดหวังว่าการประชุม JBC ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะมีทางออกร่วมกันอย่างสันติ ไม่เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่การสู้รบกัน เพราะหากมีการสู้รบขึ้นจริง จะส่งผลกระทบกับประชาชนทั้งสองฝ่าย ทั้งการทำมาหากินและการดำรงชีพก็จะลำบากและเสี่ยงอันตราย

...

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุปะทะกันที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจบลงอย่างไร ก็สร้างความกังวลใจให้ชาวบ้านแนวชายแดน โดยเฉพาะชาวบ้านหลายหมู่บ้านในตำบลสายตะกู ที่เคยมีลูกกระสุนปืนตกในพื้นที่เมื่อปี 2554 ถึง 120 ลูกต่างก็ใช้ชีวิตด้วยความกังวล เกรงจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก หลายครัวเรือนที่เลี้ยงวัว-ควายไว้จึงได้ทยอยขายออก แม้จะได้ราคาต่ำเฉลี่ยตัวละ 6,000-8,000 บาทก็ตาม จากที่ราคาซื้อขายตามท้องตลาดช่วงนี้จะต้องอยู่ที่ตัวละไม่ต่ำกว่า 10,000 ถึง 20,000 บาทขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัว แต่ก็จำใจต้องขาย เพราะไม่อยากกังวล หากเกิดเหตุสู้รบขึ้นและต้องอพยพออกนอกพื้นที่จริง ก็จะได้ไม่ต้องพะวงเป็นห่วงสัตว์เลี้ยง

ขณะที่ผู้สูงอายุบางครอบครัวที่ลูกหลานทำงานต่างจังหวัด ก็ได้ลงทุนซื้อท่อปูนซีเมนต์และดินทำบังเกอร์หลบภัยไว้ภายในบริเวณบ้านของตัวเอง เพื่อไว้หลบภัยก่อนที่จะมีการอพยพออกจากพื้นที่ เพื่อความปลอดภัย